www.facebook.com/kuunepage

..... คูเน่ คู่ครัว คู่มื้อสุขภาพ คู่คุณ

คูเน่ นวัตกรรมเครื่องปรุงครบรส จากธรรมชาติเพื่อสุขภาพ

.

Search This Blog

Translate

คุ้มค่าด้วยคุณค่า เติมสุขเสริมสุขภาพ ใช้ปรุงอาหาร หรือชงดื่มเพื่อสุขภาพ หอมชงปานะ

นวัตกรรมเครื่องปรุงครบรสเพื่อสุขภาพ ผลงานวิจัยดีเด่น ม.เกษตรฯ ผลิตจากหอมหัวใหญ่ เข้มข้น 3 เท่า ช่วยป้องกันความเสี่ยงต่อโรคอ้วน ความดัน เบาหวาน หัวใจ สารก่อมะเร็ง ช่วยชะลอความชรา
อีกทั้งช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ (อนุภาคหอมหัวใหญ่จะเกาะตัวกันตามธรรมชาติ โดยปราศจากสารเคมีป้องกันการเกาะตัว)

Sunday, January 20, 2013

หญิงไทย อ้วนเกือบครึ่งประเทศ


หญิงไทย อ้วนเกือบครึ่งประเทศ - ขยายความ ขยายข่าว
วันที่ 18 ม.ค 2013 เวลา 11:19 น.




อาหารการกินสุดสัปดาห์นี้ ไม่ได้จะมาชวนๆ ให้กินอาหาร แต่จะชวนให้ลดอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  สาวไทย ที่นับวันจะมีภาวะอ้วนลงพุงกันมากขึ้น แซงหน้าชายไทย ที่แต่ก่อนมีภาวะอ้วนลงพุงมากกว่าผู้หญิง

โดยศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพฯ เปิดเผยข้อมูลว่า เมื่อเกือบ 10 ปีก่อน หากมีหญิงไทยเดินมา 5 คน จะมีอยู่ 1 คนที่อ้วน แต่ในปัจจุบัน กราฟสถิติผู้หญิงอ้วนพุ่งไม่หยุด จนตอนนี้ เรียกได้ว่า หญิงไทยเกือบครึ่งประเทศเป็นคนอ้วนกันไปแล้ว

ล่าสุดมีผลสำรวจระดับชาติ พบว่า โรคอ้วนได้ยึดครองเรือนร่างของผู้หญิงในต่างจังหวัดมากกว่าผู้หญิงในเมือง ซึ่งหากวัดเกณฑ์ความอ้วนตามดัชนีมวลกายตั้งแต่ 25 กิโลกรัมต่อตารางเมตร  กลุ่มผู้หญิงสามารถ "อ้วน" ทำลายสถิติชนะเลิศคุณผู้ชายอย่างขาดลอย  โดยผลการสำรวจในช่วงหลายปี ที่ผ่านมา พบว่าประเทศไทยผู้ชายอ้วนอยู่ 22% ในขณะที่มีผู้หญิงอ้วนอยู่ 34%

ส่วนโรคภัยไข้เจ็บ พบผู้หญิง ไทยอ้วนลงพุงเป็นเบาหวานเพิ่มขึ้นเกือบ 20% เทียบกับเมื่อ 5 ปีก่อน โดยความชุกของทั้งภาวะเบาหวานแอบแฝงและเบาหวานจริงมีอยู่เกือบ 20% แต่ที่สำคัญคือประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ป่วยโรคเบาหวานไม่เคยรู้ตัว  รวมถึงสัดส่วนความอ้วนและไขมันในเลือดที่มีสูงมากในกลุ่มผู้หญิง ยังเป็นสัญญาณบ่งบอก ให้เตรียมพร้อมรับภาระการดูแลรักษาโรคเรื้อรังที่กำลังจะมาเยือนผู้หญิงไทยในอนาคต

คำว่า "อ้วน" เป็นคำเรียกที่ใครๆ ต่างไม่อยากได้ยิน เพราะมันทำให้คนเราขาดความมั่นใจ และที่สำคัญ มันยังนำโรคภัยต่างๆ มาให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคเบาหวาน โดยคนที่อ้วนลงพุง มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานสูงกว่าคนน้ำหนักตัวปกติถึง 3 เท่า นอกจากนี้ ยังสามารถก่อมะเร็งได้ เนื่องจากเซลล์ไขมันผลิตฮอร์โมน และสารที่ส่งเสริมการเติบโตของมะเร็ง

มีข้อมูลทางการแพทย์ระบุว่า ผู้หญิงที่มีค่าดัชนีมวลกายเพิ่มทุก 5 กิโลกรัม ต่อตารางเมตร มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งบางชนิดสูงมาก เช่น มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก ถุงน้ำดี หลอดอาหารและไต โดยเฉพาะผู้หญิงในแถบเอเชียแปซิฟิก ที่เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมมากเป็นพิเศษ ทั้งก่อนและหลังการมีประจำเดือน

นอกจากนี้ผู้หญิงเจ้าเนื้อยังเสี่ยงมีบุตรยากด้วย และต่อให้ตั้งครรภ์ได้ ก็ยังเสี่ยงเกิดภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ หรือครรภ์เป็นพิษ และลูกอาจเกิดมาตัวใหญ่เกินปกติด้วย

สำหรับแนวทางแก้ไข ไม่ยากเลย กินให้น้อยลง ...ซึ่งหากอยากหุ่นสวยเร็วขึ้น ท่องอาหาร 13 อย่างนี้ไว้ให้ขึ้นใจ นำมาจากบทความ “13 สิ่งที่ทำให้คุณลดน้ำหนักให้เร็วขึ้น “

เริ่มจาก ไฟเบอร์ นอกจากช่วยในระบบขับถ่ายแล้ว ยังช่วยล้างของเสีย และสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ออกจากร่างกายและเส้นเลือดด้วย รวมถึง  นมอุ่น ๆ ที่ช่วยให้คุณหลับสบาย เมื่อคุณหลับร่างกายจะเร่งสร้างฮอร์โมนที่กระตุ้นการสร้างกล้ามเนื้อขึ้นมา ยังมีกาเฟอีน ช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญในร่างกาย เมื่ออัตราการเต้นของหัวใจถูกกระตุ้น ก็จะส่งผลให้ระบบอื่น ๆ ทำงานเร็วขึ้นไปด้วย

ตามมาด้วย เซลารี่ หรือขึ้นฉ่ายฝรั่ง ช่วยเผาผลาญแคลอรีได้ดี  รวมถึง อาหารที่ช่วยระบายท้อง เช่น ลูกพรุน หรือชา จะช่วยเคลียร์ระบบภายในร่างกาย และรีดเอาของที่ไม่ดีออกไป  และที่ขาดไม่ได้คือผักสด ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยอาหาร ควบคุมน้ำตาลในเลือด และให้แคลอรีต่ำ  รวมทั้งผลไม้สด  ที่อุดมไปด้วยน้ำ เช่น แอปเปิ้ล สับปะรด สตรอเบอร์รี่ และเกรปฟรุต อุดมไปด้วยน้ำถึง 80 เปอร์เซ็นต์   ส่วนแตงโมนั้น  ให้น้ำมากถึง 92 เปอร์เซ็นต์

นอกจากนี้ กล้วยยังช่วยกระตุ้นพลังงานในร่างกาย เมื่อคุณมีพลังมากขึ้น และได้ออกกำลัง ร่างกายก็จะนำเอาคาร์โบไฮเดรต หรือแป้งที่สะสมไปใช้ และอย่ามองข้ามการดื่ม น้ำ เพราะน้ำช่วยเติมคุณค่าให้ร่างกายคุณอยู่เสมอในระหว่างไดเอ็ต ทั้งยังช่วยชำระล้างของเสีย และเคลียร์ระบบในร่างกาย ในระหว่างนี้ การกินของหวานสักหน่อยก็ไม่เสียหาย ดีกว่าที่คุณพยายามจะงดของหวานอย่างสิ้นเชิง จนสุดท้ายแล้ว ก็ทนไม่ไหว จนต้องล้มเลิกแผนไดเอ็ตไปในที่สุด

ในส่วนของโปรตีน นักโภชนาการแนะนำให้เปลี่ยน จากการทอดมาเป็นย่างแทน โดยสุดยอดของโปรตีนที่มีประโยชน์มากก็คือ เนื้อปลาแซลมอน และไก่งวง

ยังมีเทคนิคลดน้ำหนักที่น่าสนใจ คือ ให้เคี้ยวหมากฝรั่ง เมื่อปากคุณไม่ว่าง คุณจะแตะอาหารอื่นน้อยลง  ซึ่งการเคี้ยวหมากฝรั่งยังช่วยเร่งระบบเผาผลาญให้คุณได้ด้วย แต่ระวังอย่าเคี้ยวมากไป เพราะกรดในกระเพาะคุณอาจเสียหายได้ 

ที่มา : http://news.ch7.com/detail/19796/หญิงไทย_อ้วนเกือบครึ่งประเทศ_-_ขยายความ_ขยายข่าว.html

โรคภัยที่มากับ AEC AEC ไม่รู้ไม่ได้


โรคภัยที่มากับ AEC ไม่รู้ไม่ได้ - ขยายความ ขยายข่าว
วันที่ 15 ม.ค 2013 เวลา 11:27 น.


                    


เวลานี้ เมื่อพูดถึง AEC น้อยคนที่จะไม่รู้จัก โดยเฉพาะแฟนรายการข่าวภาคเที่ยง ที่จะได้ดู คอลัมน์ "AEC ไม่รู้ไม่ได้" เป็นประจำ ซึ่งที่เราต้องให้ความสำคัญกันขนาดนี้ เพราะเชื่อว่า AEC จะมีส่วนช่วยให้คุณภาพชีวิตของแรงงานไทยดีขึ้นได้

แต่การเปิดประเทศอย่างเสรี ก็มีภัยเงียบแฝงอยู่ โดยเฉพาะเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ เห็นได้จากเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา ที่มีการะบาดของโรคคอตีบจากประเทศเพื่อนบ้าน จนกระทรวงสาธารณสุขต้องออกมาคิดหาทางป้องกันเป็นการด่วน

โดย นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตเลขาธิการอาเซียน ออกมาระบุว่า หลังเปิดประชาคมอาเซียนในปี 2558 อาจทำให้ประชากรกว่า 600 ล้านคนในภูมิภาค เสี่ยงเป็นโรคทั้งติดต่อและไม่ติดต่อมากขึ้น ทั้งนี้ สหประชาชาติกังวลว่าหากไม่มีมาตรการที่ดี การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะทำให้อัตราการเพิ่มขึ้นของโรคมากจนยากจะควบคุม เนื่องจากพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของประชาชน ทั้งการกินอาหาร และการออกกำลังกายที่ไม่เหมาะสม

สำหรับโรคที่สหประชาชาติห่วงมากที่สุดมี 4 โรคคือ โรคความดันโลหิตสูง, โรคหัวใจ, โรคปอด และโรคเบาหวาน ซึ่งคร่าชีวิตคนทั่วโลกไปแล้วมากถึง 36,000,000 คน จากจำนวนผู้เสียชีวิตที่พบ 57,000,000 คนในแต่ละปี โดยเฉพาะในอาเซียน พบว่ามีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 4,000,000 คนต่อปี ในจำนวนนี้กว่าร้อยละ 60 หรือประมาณ 2,500,000 คนเสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อนี้

ซึ่งในบทความ "เจาะ 7 โรคร้ายภัย AEC" ที่เผยแพร่ผ่านทาง นิตยสาร hospital & Healthcare ได้หยิบยกเอา 7 โรคร้ายที่มีแนวโน้มจะระบาดจากการเปิดประเทศเสรี โรคแรกคือ โรคคอตีบ ปัจจุบันผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคนี้ ส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 10-15 ปี เป็นโรคติดเชื้อเฉียบพลันของระบบทางเดินหายใจ ที่ติดต่อกันได้โดยตรงจากการไอ จามรดกัน หรือพูดคุยในระยะใกล้ชิด

ต่อมาคือ โรคไอกรน ที่เป็นโรคติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจส่วนบนที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จะมีเสียงไอที่เป็นเอกลักษณ์ โรคนี้ติดต่อกันได้ง่ายมาก โอกาสที่คนที่ไม่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคจะติดเชื้อจากผู้ป่วยที่อยู่ในบ้านเดียวกันมีถึง 80-100%

และถึงแม้ว่า จะมีภูมิคุ้มกันต้านทานแล้ว ก็ยังมีโอกาสติดเชื้อได้ถึง 20% ผู้ป่วยโรคไอกรนพบได้ทั่วโลก แม้ว่าในปัจจุบันจะมีวัคซีนป้องกันแล้วก็ตาม ก็ยังพบการระบาดเกิดขึ้นทุกๆ 3-5 ปี

ยังมีโรคบาดทะยัก ที่ผู้ป่วยมีโอกาสเสียชีวิตได้เลย แต่โรคนี้ยังดีที่มีวัคซีนฉีดป้องกันได้ โรคต่อไปยิ่งน่าเป็นห่วง เพราะแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้กันมาก

นั่นคือ โรคความดันโลหิตสูง ปัจจุบันคนไทยที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไปเป็นโรคนี้สูงถึง 10,800,000 คน โดย 5,400,000 คนไม่รู้ว่าตนเองเป็น โดยคนที่เป็นโรคนี้มักมีคอเลสเตอรอลสูงกว่าคนปกติ 6-7 เท่า เสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองและโรคหลอดเลือดหัวใจเพิ่มขึ้นร้อยละ 40 และร้อยละ 25 ตามลำดับ และมีโอกาสเสียชีวิตจากหัวใจวายถึงร้อยละ 60-75 และมีโอกาสเป็นอัมพาตมากกว่าคนปกติถึง 5 เท่า และโอกาสเสียชีวิตสูงกว่าคนปกติ 2-4 เท่า

ไม่ต่างจากโรคหัวใจ เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา มีคนไทยเสียชีวิตจากโรคนี้เฉลี่ย 50 คนต่อวัน หรือชั่วโมงละ 2 คน และเจ็บป่วยนับเฉพาะที่เข้ารับการรักษาเป็นผู้ป่วยในมากเฉลี่ยถึง 1,185 รายต่อวัน ผลการสำรวจพฤติกรรมคนไทยล่าสุดพบว่า คนไทยมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจสูงถึงร้อยละ 86 เพราะนิยมบริโภคอาหารไขมันสูง ทำให้มีไขมันสะสมในเส้นเลือดแดง ส่งผลให้เกิดโรคหัวใจและเส้นเลือดตีบตามมา จนมีคนไทยจำนวนมากที่เสียชีวิตก่อนวัยอันควร

ยังมีผู้ป่วยโรคเบาหวาน ซึ่งคนไทยป่วยด้วยโรคเบาหวาน 3,500,000 คน แต่มีถึง 1,100,000 คนที่ไม่รู้ว่าตนเองป่วย ที่น่าห่วงยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ผู้ป่วยเหล่านี้เสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและสมองสูงกว่าคนปกติถึง 2-4 เท่า โดยอาการที่สังเกตได้คือ ปัสสาวะบ่อยและมาก หิวและกระหายน้ำบ่อย อ่อนเพลียไม่มีแรง บางคนปัสสาวะแล้วมีมดขึ้น อาการเหล่านี้บ่งบอกถึงขั้นน่าเป็นห่วง

สุดท้ายคือ โรคปอด โดยสาเหตุที่พบบ่อยคือ ปอดติดเชื้อ เช่น ปอดอักเสบ ปิดบวม ซึ่งอาการสำคัญที่เกิดจากโรคปอดคือ อาการไอ อาจมีเสมหะ หรือไม่ก็ได้และอาการเหนื่อยหอบเมื่อมีการออกแรง

ซึ่งเมื่อมีอาการมาก หรือ ร่างกายขาดออกซิเจนมากๆ แล้วไม่ไปรักษา ตามข้อมูลบอกว่า อาจถึงขั้น หมดสติ ภาวะหายใจล้มเหลว และเสียชีวิตในที่สุด เพราะฉะนั้น ถ้ามีอาการไม่น่าวางใจ รีบพบแพทย์ อย่าปล่อยไว้นาน

ที่มา : http://news.ch7.com/detail/19466/โรคภัยที่มากับ_AEC_ไม่รู้ไม่ได้_-_ขยายความ_ขยายข่าว.html

Wednesday, January 9, 2013

คู่มือ ฉลาดเลือกกินผัก

คู่มือ ฉลาดเลือกกินผัก
การรับประทานผักให้เหมาะสมกับฤดูกาล นอกจากจะได้ประโยชน์สูงสุด และช่วย..



คู่มือ ฉลาดเลือกกินผัก

การรับประทานผักให้เหมาะสมกับฤดูกาล นอกจากจะได้ประโยชน์สูงสุด และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้แล้ว ยังได้ผลดีต่อร่างกายและจิตใจ 
“เมื่อปัจจัยหนึ่งที่ชี้วัดถึงความเจริญของประเทศ คือความปลอดภัยในชีวิต โดยเฉพาะ การกินการอยู่ ฉะนั้น จะมีประโยชน์อะไร หากในปัจจุบันมีพืชผักให้ เลือกกินมากมาย แต่ สุขภาพผู้คนกลับแย่ลง เพราะร่างกายได้รับสารพิษจากพืชผักเหล่านั้น”
ความข้องใจจาก คุณชวน ชูจันทร์ เกษตรกรเดินดินคนหนึ่ง ผู้มีบทบาทในการผลิตพืชผักอินทรีย์ออกสู่ท้อง ตลาดมากว่า 10 ปี ชวนให้เราต้องย้อนถามตัวเองว่า ผักที่เรากินทุกวันนี้ ปลอดภัยแล้วหรือ
ไม่เพียงเท่านี้ยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับผักอีกมากมายที่ผู้บริโภคควรรู้ เพื่อประโยชน์ในการเลือกซื้อผักให้ครบคุณค่า และห่าง ไกลจากสารพิษตกค้าง
สำรวจผักในท้องตลาด
ผักในท้องตลาดบ้านเรามีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละชนิดจะมีรายละเอียดแตกต่างกันไป คุณอรสา ดิสถาพร ผู้อำนวยการส่วนการส่งเสริมการผลิตผัก ไม้ดอก และพืชสมุนไพร กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตร และสหกรณ์อธิบาย ประเภทของผักต่างๆ ตามความปลอดภัยไว้ดังนี้
ผักอินทรีย์หรือผักออร์แกนิก แม้จะมีราคาค่อนข้างสูง แต่ได้รับความนิยมในกลุ่มคนรักสุขภาพ อย่างต่อเนื่อง ด้วยปลอดภัย จากการปนเปื้อนสารเคมีค่อนข้างสูง ปัจจุบันผู้บริโภคสามารถสังเกตผักอินทรีย์ได้จาก ตราสัญลักษณ์รับรองที่ปรากฎบนบรรจุภัณฑ์           ผักประเภทนี้ใช้วิธีการปลูกแบบองค์รวมที่ใส่ใจทุกรายละเอียด เริ่มตั้งแต่ไม่ใช้เมล็ดพันธุ์ที่ผ่านการตัดแต่ง พันธุกรรม (จี เอ็มโอ) โดยปลูกในสิ่งแวดล้อมที่ดี พื้นที่นั้นเลิกใช้สารเคมีตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป           ในการบำรุงพืชและกำจัดศัตรูพืชจะใช้สารที่สกัดจากธรรมชาติได้ เช่น น้ำหมักชีวภาพ น้ำยาสะเดาแทนสารเคมี สังเคราะห์และปุ๋ยเคมีทุกประเภท เนื่องจากมีผลกระทบต่อระบบนิเวศในดิน ทั้งเชิงกายภาพ เคมี และชีวภาพ รวมทั้งเพื่อ ป้องกันสารเคมีตกค้างในผลผลิตและสิ่งแวดล้อม
ผักไร้สารพิษ การปลูกผักชนิดนี้คล้ายคลึงกับผักอินทรีย์ คือ ปลูกในพื้นที่ที่เลิกใช้สารเคมีไม่ต่ำกว่า 3 ปี ไม่ใช้สารเคมี สังเคราะห์และปุ๋ยเคมี แต่จะใช้สารสกัดจากธรรมชาติแทนอย่างไรก็ตามการปลูกผักประเภทนี้ยังไม่มีการ จำกัดเมล็ดพันธุ์ที่นำมาใช้
ผักปลอดสารพิษ
ผักปลอดสารพิษ ผักชนิดนี้ใช้สารเคมีสังเคราะห์และปุ๋ยเคมีในการปลูก แต่มีฤทธิ์ตกค้างไม่นานและ ไม่ใช่สารต้องห้ามสามารถใช้ฮอร์โมนเร่งผลผลิตได้ เพราะไม่ถือว่าเป็นสารเคมีอันตราย จากนั้นเมื่อใกล้เวลาเก็บเกี่ยว จะงดใช้สารเคมีต่างๆ และเว้นระยะเวลาให้สารที่ใช้สลายตัว จึงจะเก็บเกี่ยวผักนั้นได้ ผักชนิดนี้อาจมีปริมาณสารเคมี ตกค้างบ้าง แต่อยู่ในระดับที่ไม่เป็นอันตราย
ผักทั่วไป ได้แก่ ผักที่ปลูกโดยใช้ทั้งสารเคมีสังเคราะห์และปุ๋ยเคมีโดยไม่มีการควบคุม หรือเว้นระยะเวลา ในการเก็บเกี่ยว จึงทำให้มีสารพิษตกค้างในผักปริมาณสูงเกินกำหนดและไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค
เส้นทางการปนเปื้อนของผัก
เพราะผักอุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุ คนกินผักจึงมีสุขภาพแข็งแรง แต่หากผักนั้นมีสารพิษเป็นของแถม ย่อมเป็น ผลเสียต่อสุขภาพอย่างแน่นอน
ด้วยแนวโน้มของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับการบริโภคผักที่ปลอดสารพิษมากขึ้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ปัจจุบัน จะพบ เห็นผักที่ตีตราว่าเป็นผักปลอดสารพิษหรือผักออแกนิกส์วางจำหน่ายตามตลาดสดหรือซูเปอร์มาร์เก็ตกันมากขึ้น
แต่ทราบหรือไม่ว่า นอกจากการเลือกซื้อผักที่ระบุว่าปลอดสารพิษแล้ว ยังมีเทคนิคง่ายๆที่หากคุณทำได้ จะช่วย ปกป้องคุณจากสารเคมีตกค้างในผักได้อีกโขเลยค่ะ
คุณวิลาวัณย์ ใคร่ครวญ นักวิชาการชำนาญพิเศษ กรมวิชาการเกษตร ได้ให้หลักการเบื้องต้นในการเลือกซื้อผัก ไว้ดังนี้        สด ไม่เหี่ยวเฉา ไม่มีรอยช้ำ หรือมีสีผิดธรรมชาติ        สะอาด ไม่มีเศษดินและสิ่งสกปรกเกาะเป็นคราบ และไม่มีคราบสีขาวซึ่งเป็นสารฆ่าแมลงตกค้างอยู่ที่ผัก        ไม่มีกลิ่นฉุน เมื่อดมผักดูแล้วต้องไม่มีกลิ่นฉุนแสบจมูก
นอกจากนั้นคุณวิลาวัณย์ยังฝากเคล็ด(ไม่)ลับ แบบฉบับคนฉลาดเลือกกินผัก เพิ่มเติมมาด้วย ดังนี้ค่ะ
กินผักอายุสั้นดีที่สุด เลือกกินผักที่มีอายุสั้น เช่นผักบุ้ง ซึ่งตั้งแต่เริ่มปลูก จนถึงการเก็บเกี่ยว มีช่วง เวลาเพียง 45 วันเท่านั้น โอกาสในการเกิดโรค และแมลงจนต้องฉีดยาฆ่าแมลงจึงน้อยมาก เมื่อเปรียบเทียบกับผักที่เก็บ เกี่ยวผลผลิตได้หลายรุ่น           กินผักตามฤดูกาล ทราบหรือไม่ ผักบางชนิดมีฤดูกาลการเติบโตของมัน เช่น ผักคะน้า ซึ่งฤดูกาลที่ เติบโตได้ดีคือช่วงฤดู หนาว ระหว่างเดือนตุลาคมถึงธันวาคม ทำให้ผักคะน้าในช่วงนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าแมลงมาก เหมือนการปลูกผักคะน้า นอกฤดู กาล โดยเฉพาะช่วงฤดูร้อน ที่มีทั้งโรคผัก และแมลงศัตรูพืชมาก           กินผักใบดีกว่าผักหัว เพราะผักหัวจะสะสมสารพิษไว้มากกว่า           กินผักให้หลากหลาย ไม่ควรกินผักเพียงชนิด เดียวติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะมีโอกาสสูงที่สารเคมี ตัวเดิมๆ ในผักจะเข้า ไปสะสมอยู่ในร่างกาย ก่อให้เกิดความเจ็บป่วยได้           กินผักพื้นบ้านดีที่สุด ลองหันมากินผักพื้นบ้านให้มากขึ้น เพราะผักพื้นบ้านส่วนใหญ่มักขึ้นอยู่ตามธรรม ชาติและมีคนไป เก็บมาจำหน่าย ทำให้แน่ใจได้ว่าปลอดสารเคมีตกค้างอย่างแน่นอน
ในฐานะผู้บริโภค เราก็มีบทบาทช่วยเหลือคนกินผักด้วยกันได้ค่ะ
กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค(บก.ปคบ.) ร่วมกับสำนักงานคณะ กรรมการอาหาร และยา (อย.) จัดโครงการสายสืบผักสด ปลอดภัย ส่งเสริมคนไทยสุขภาพดี หรือสายสืบผักสด ขึ้น เพื่อป้องปรามและส่งเสริม ให้มีการขายผักปลอดสารพิษตกค้างเพื่อสุขภาพของผู้บริโภค
โครงการนี้เชิญชวนให้ประชาชนร่วมสมัครเป็นสายสืบผักสดอาสา เพื่อเป็นเครือข่ายแจ้งข้อมูลตลาดที่ขายผักสด ไม่ปลอดภัย ไปยังเจ้าหน้าที่ โดยสายสืบจะได้รับการอบรมความรู้เรื่องผักจากอย. ทั้งการเลือกซื้อผักสดที่ไม่มีสารตก ค้างและยาฆ่าแมลง รวมถึงสาธิตการล้างผักและการตรวจสอบยาฆ่าแมลงด้วยชุดทดสอบเบื้องต้น
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่จากทั้งสองหน่วยงานจะนำรถ Mobile Unit ออกให้ความรู้และสุ่มเก็บตัวอย่างผักสดใน ตลาดเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลมาตรวจสอบ ร้านที่ขายผักปลอดภัยจะได้รับป้ายรับรองคุณภาพผักสด แต่หากผักไม่ ปลอดภัยจะสั่งให้ดำเนินการแก้ไขและหากไม่ปฏิบัติตามจะดำเนินการทางกฎหมายทันที
ขอขอบคุณข้อมูลจากชีวจิต

 ฉลาดเลือกกินผัก ควบคู่กับเครื่องปรุงปลอดสาร คุณประโยชน์เพื่อสุขภาพ  
สนับสนุนโดย คูเน่ ... โภชนาการคุณค่า เพื่อชีวิตที่ยืนยาว

ฉลองปีใหม่ด้วย 10 เมนูสุขภาพดี แถมต้านชราได้ด้วย




อาหารไทย 

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ในช่วงเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองปีใหม่ หลายคนคงมีโอกาสได้ไปงานเลี้ยง งานปาร์ตี้ ซึ่งทำให้เราได้รับประทานอาหารในปริมาณมาก แถมส่วนใหญ่ยังเป็นอาหารหนัก ๆ หรืออาหารฝรั่งที่ดูแล้วไม่ค่อยเป็นมิตรกับสุขภาพเลยเสียด้วย เป็นเช่นนี้ไม่ดีแน่ ๆ

          ดังนั้น นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ จึงขอแนะนำสุดยอดอาหารสไตล์อายุรวัฒน์ ต้านชรา ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 10 เมนู ให้ทุกคนได้เลือกไปรับประทานกัน จะได้มีสุขภาพดีรับปีใหม่ มาดูกันเลยว่ามีอาหารจานไหนบ้าง


ส้มตำ

 1. ส้มตำ ไก่ย่าง

          นี่คือสุดยอดของอาหารต้านชรา เพราะในส้มตำมี "มะเขือเทศ" ที่ช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งเต้านม แต่ที่เด็ดกว่านั้นก็คือ "มะละกอ" ส่วนผสมหลักของส้มตำที่จะช่วยล้างพิษให้กับลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ได้ โดยในมะละกอจะมีน้ำย่อย "ปาเปน" ช่วยล้างทำความสะอาดลำไส้ให้ปลอดคราบโปรตีนเกาะ ทั้งนี้ แนะนำให้ทานส้มตำคู่กับไก่ย่าง เพราะจะได้โปรตีนจากเนื้อไก่ และเนื้อไก่ก็ไม่ทำให้อ้วนด้วยเมื่อเทียบกับ "ข้าวเหนียว" ที่เป็นแป้ง


แกงเขียวหวานไก่

 2. แกงเขียวหวานไก่

          จัดเป็นอาหารจานทิพย์ที่อุดมไปด้วยวิตามิน เพราะในน้ำแกงนั้นมีทั้งวิตามินเอ ดี อี เค ที่ละลายอยู่ในกะทิ ส่วนเนื้อไก่ก็มีวิตามินบีช่วยบำรุงสมอง แม้แต่พริกที่ปรุงลงไปในแกงชามอร่อยนี้ก็ยังมีกรดแคปไซซิน และเบต้าแคโรทีน ช่วยบำรุงสายตาด้วย

 3. เมี่ยงปลาทู  
          ทราบกันดีกว่า "เนื้อปลาทู" มีทั้งกรดไขมันดี และแอสตาแซนทิน นอกจากนี้ใบคะน้าที่ห่อเมี่ยงยังให้สาร "ซัลโฟราเฟน" ที่เป็นกลุ่มสารต้านมะเร็ง และหากหยิบ "มะเขือเทศราชินี" หั่นเสี้ยวใส่เข้าไปในเมี่ยงด้วยก็จะช่วยให้ผิวพรรณสวยใส


ผัดไทย

 4.ผัดไทย

          อาหารขึ้นชื่อประจำชาติไทยที่จะช่วยเติมวิตามินซีให้ร่างกายจาก "ถั่วงอก" และส่วนผสมอย่าง "ถั่ว", "เต้าหู้" ยังให้วิตามินอี แคลเซียม และสารพฤกษฮอร์โมนที่เป็นไฟโตเอสโตรเจนป้องกันมะเร็งและลดไขมันได้ด้วย แต่ข้อควรระวังคือ อย่าใส่ "เส้น" มากไป เพราะนี่คือแป้งที่หากทานไปย่อมไม่ดีต่อสุขภาพแน่ ๆ

 5.ข้าวหอมนิล

          ข้าวสีม่วงเข้มเตะตาอัดแน่นไปด้วย "พฤกษเคมี" ที่มีพลังมากกว่าวิตามินอีกับซีรวมกัน ลองทานข้าวหอมนิลแทนข้าวขาว ทานคู่กับอาหารจานอื่น ๆ เช่น น้ำพริกปลาทูข้าวหอมนิล หรือไข่เจียวร้อน ๆ รับรองอร่อยอย่าบอกใคร

 6.ข้าวตอกน้ำกะทิ 

          เป็นขนมไทยช่วงปีใหม่ที่ถูกลืมไปนาน แต่รู้ไหมว่า "ข้าวตอกน้ำกะทิ" เป็นขนมไทยที่มีคุณค่าทางอายุรวัฒน์มาก เพราะ "ข้าวตอก" มีเส้นใยช่วยลดไขมันและน้ำตาลได้  ส่วนวิตามินข้างในนั้นก็เป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยป้องกันมะเร็ง และต้านความชราที่คนไม่ต้องการอีกด้วย


ข้าวต้มมัด

 7.ข้าวต้มมัด หรือข้าวเหนียวปิ้งใส่ไส้

          นอกจากอร่อยอิ่มท้องแล้ว เมนูขนมไทยอย่าง "ข้าวต้มมัด" และ "ข้าวเหนียวปิ้งใส่ไส้" ก็เป็นเมนูที่มีประโยชน์ครบเครื่องไปด้วยสารอาหาร 5 หมู่ และยังมีวิตามินเอ บี ซี ส่วน "กล้วย" ที่ใส่ไส้มาก็มีเส้นใยกับสารกลุ่มฟีนอล ชื่อ "กรดเอลลาจิก" ช่วยต้านมะเร็งและเนื้องอกได้ด้วย


ข้าวเหนียวดำน้ำกะทิ

 8.ข้าวเหนียวดำน้ำกะทิ 

          เป็นขนมหวานแบบไทย ๆ ที่เป็นแหล่งรวมไฟเบอร์ชั้นสูง เพราะมีส่วนผสมของ เผือก ลำไย ลูกเดือย และธัญพืชอื่น ๆ ที่จะช่วยขัดล้างตั้งแต่หลอดอาหารลงมาถึงลำไส้ใหญ่  ส่วนตัวข้าวเหนียวดำเองก็มีวิตามินอี และธาตุเหล็กสูงมาก รวมถึงธาตุม่วงต้านร่วงโรย (OPCs) ที่เหมาะกับเป็นอาหารต้านชราช่วยให้สุขภาพดีจริง ๆ



 9. ข้าวโพดม่วง  

          หลายคนเห็นสีของ "ข้าวโพดม่วง" แล้ว รู้สึกว่าอาจจะไม่น่าลิ้มลองเช่น "ข้าวโพดเหลือง" แต่รู้ไหมว่า "ข้าวโพดสีม่วง" นี้ เต็มเปี่ยมไปด้วยวิตามินบำรุงตาอย่าง "ลูทีน" กับ "ซีแซนทิน" และยังนำไปประกอบอาหารได้หลายเมนูไม่แพ้ข้าวโพดสีเหลืองเลย หรือถ้าชอบทานของหวานจะนำข้าวโพดม่วงไปราดกะทิกิน ทำเป็นข้าวโพดปิ้ง ข้าวโพดม่วงคลุกก็เข้าท่า

 10. น้ำสมุนไพรแสนชื่นใจ

          ปิดท้ายด้วยเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพอย่าง น้ำสมุนไพร ไม่ว่าจะเป็นน้ำอัญชัน, กระเจี๊ยบ, น้ำย่านาง, น้ำใบบัวบก เครื่องดื่มเหล่านี้ถือเป็นน้ำวิตามินชั้นดี จัดเป็นน้ำนางเอกของแท้ อย่างเช่น "น้ำอัญชัน" มีวิตามินสีม่วงที่ช่วยปกป้องผิวและบำรุงตับ

           ส่วน "น้ำกระเจี๊ยบ" ก็มีวิตามินซี และวิตามินเอ ช่วยบำรุงไตได้ ขณะที่ "น้ำใบย่านาง" กับ "น้ำใบบัวบก" ประกอบด้วยคลอโรฟิลล์ และกลูต้าไทโอน ที่แค่ได้ยินชื่อก็รู้แล้วว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นยอด ดื่มบ่อย ๆ นอกจากจะชื่นใจแล้ว ยังช่วยทำให้ดูอ่อนเยาว์ได้อีกนะ

          เห็นแต่ละเมนูแล้วต้องบอกว่าน่ารับประทานทั้งนั้นเลย ทั้งอร่อย ทั้งได้ประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างนี้ มาฉลองปีใหม่ด้วยอาหารเพื่อสุขภาพแบบนี้ดีกว่าจ้า


ที่มา :  http://health.kapook.com/view53529.html

Monday, December 24, 2012

บริษัท ปกธนพัฒน์ จำกัด ร่วมส่งความปรารถนาดีในวันปีใหม่ ให้สุขกาย สุขใจ กันถ้วนหน้า

ในศุภวารดิถีขึ้นปีใหม่ ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จงดลบันดาลให้ท่านพร้อมครอบครัว ประสบแต่ความสุขด้วยจตุรพิธพรชัย สมบูรณ์พูนผลในสิ่งที่พึงปรารถนาทุกประการ

สุขเอ๋ย สุขใจ สุขภายใน เมื่อใจหยุด
สุขใส ผ่องพิสุทธิ์ ยิ่งผ่องผุด ดุจจันทร์ฉาย
ยิ่งนิ่ง ยิ่งสว่าง ยิ่งกระจ่าง นุ่มนวลพราย
ยิ่งหยุดยิ่งมากมาย ความสุขสุด อนันต์ทวี





ด้วยความปรารถนาดีจาก บริษัท ปกธนพัฒน์ จำกัด
ผู้ผลิตและจำหน่าย Kuu Ne คูเน่ นวัตกรรมผงปรุงครบรสหอมหัวใหญ่ เพื่อสุขภาพ




Monday, December 17, 2012

ยารักษาโรคมีผลข้างเคียงเมื่อรับประทานร่วมกับส้มโอ



มียารักษาโรคหลายชนิดมากขึ้นที่มีปฏิกริยาทางต่อร่างกายเมื่อรับประทานร่วมกับส้มโอ




ในช่วง 4 ปีระหว่างปีพุทธศักราช 2551 ถึง 2555 มียารักษาโรคที่มีผลข้างเคียงต่อร่างกายหากรับประทานร่วมกันส้มโอเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 17 ชนิดเป็น 43 ชนิด ในช่วง 4 ปีนั้น บรรดานักวิจัยกล่าวว่ามียารักษาโรคที่ออกมาสู่ตลาดปีละ 6 ชนิดเป็นอย่างน้อยที่มีผลข้างเคียงรุนแรงนี้
 

ส้มโอมีเอ็นไซม์ที่เรียกว่า CYP23A4 ที่มีปฏิกริยากับยารักษาโรคบางชนิดในกระเพาะอาหารและลำใส้ ทำให้ผลของยาลดลงหรือไม่ก็ไปเพิ่มฤทธิ์ของยาในกระเเสเลือดให้รุนแรงมากขึ้นถึงขั้นเป็นอันตรายได้

ยาที่มีปฏิกริยาทางลบหากรับประทานร่วมกับส้มโอได้แก่ยาลดไขมันในเส้นเลือดและยาลดระดับความดันโลหิต

คุณเดวิด เบลลี่ ผู้เชี่ยวชาญด้านเภสัชศาสตร์ที่สถาบันวิจัยสุขภาพ Lawson Health Research Institute ในออนโตริโอ้ประเทศแคนาดากล่าวว่าผู้ผลิตยาหลายบริษัทระบุผลข้างเคียงของยาหากรับประทานร่วมกับส้มโอบนฉลากยาแต่แพทย์จำนวนมากยังไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้

เขากล่าวว่าจำเป็นต้องเผยแพร่ข้อมูลนี้ให้แพทย์รับรู้เพื่อให้สามารถแนะนำในการใช้ยาที่ถูกต้องและปลอดภัยแก่ผู้ป่วย
ยารักษาโรคที่ได้รับผลกระทบจากน้ำส้มโอมักจะเป็นยารับประทาน คุณเดวิด เบลลี่ ผู้เชี่ยวชาญด้านยากล่าวว่าโดยปกติแล้วฤทธิืยาจะเข้าไปในกระแสเลือดเพียงเล็กน้อยหลังจากคนไข้กลืนยาลงไป แต่ระดับฤทธิ์ของยาจะเพิ่มสูงขึ้นจนถึงระดับอันตรายหากมีการรับประทานส้มโอหรือดื่มน้ำส้มโอตามลงไปหรือก่อนหน้าเนื่องจากเอนไซม์ CYP23A4 จากส้มโอจะไปทำปฏิกริยากับยาในกระเพาะอาหาร

คุณเบลลี่ ผู้เชี่ยวชาญด้านยากล่าวว่าปริมาณน้ำส้มโอที่ดื่มไม่ว่าจะมากเป็นลิตรๆหรือจะแค่แก้วเดียวก็ล้วนมีผลต่อฤทธิ์ของยาบางชนิดเช่นเดียวกัน ปฏิกริยาทางลบนี้อาจะทำใ้ห้เกิดอาการเลือดออกในลำใส้ การทำงานของอวัยวะในระบบทางเดินหายใจล้มเหลว และเกิดการเสียชีวิตอย่างฉับพลัน อาการป่วยจากฤทธิ์ของยาที่ทวีคูณขึ้นอาจจะเกิดขึ้นหลังดื่มน้ำส้มโอไปนานแล้วก็ได้

คุณเบลลี่กล่าวว่าก่อนซื้อยา คุณควรสอบถามแพทย์ประจำตัวหรือเภสัชกรที่ร้ายขายยาเสียก่อนว่ายาที่จะซื้อนั้นสามารถรับประทานร่วมกับส้มโอหรือน้ำส้มโอได้หรือไม่

บทความเกี่ยวกับผลร้ายของยาหากรับประทานกับส้มโอโดยคุณเดวิด เบลลี่ผู้เชี่ยวชาญด้านยาแคนาดาและทีมงานวิจัยตีพิมพ์เมื่อเร็วๆนี้ในวารสาร Canadian Medical Association Journal

ที่มา : http://www.voathai.com/content/grapefruit-study-tk/1566222.html

Saturday, December 8, 2012

สุดๆกับวันสบายๆ อารมณ์ดี


    

26 วิธีอารมณ์ดีตลอดกาล

ศิลปะ หางานอดิเรกเกี่ยวกับด้านศิลปะมาทำ เช่น การถ่ายภาพ วาดภาพ ร้องเพลง เต้นรำ เป็นต้น เพื่อให้ตัวท่านเองมีาจิตใจอ่อนโยน มีหัวใจศิลปิน อารมณ์ท่านก็จะดีตามไปด้วย การอาบน้ำ
การอาบน้ำด้วยน้ำเย็นจะช่วยให้ท่านสดชื่น มีชีวิตชีวา เพราะฉะนั้นในแต่ละวันควรให้ความสำคัญกับการอาบน้ำ เพราะจะเป็นช่วงเวลาส่วนตัวที่ทุกคนได้ผ่อนคลายที่สุดของแต่ละวันหลังจากทำงานมาเครียดๆ
มิตรสหาย ควรจะหาเพื่อนที่อารมณ์ดีมาเป็นคู่สนทนา เมื่อคุยกับเพื่อนคนนี้จะต้องมีเรื่องสนุกคุยกันจะเป็นการช่วยให้ท่านได้มีโอกาสผ่อนคลาย โดยอาจจะเป็นการโทรศัพท์ไปคุยกันก็ได้เพื่อให้มีความสนุก
เปิดเผย ท่านจะต้องไม่เป็นคนที่เก็บกดปัญหาต่างๆ จะต้องหาคนพูดคุย คนปรึกษา ถ้าปัญหาที่ท่านเผชิญอยู่เก็บไว้คนเดียวอารมณ์ของท่านจะหงุดหงิดอยู่ตลอดเวลา
รู้จักพอ ท่านจะต้องฝึกเป็นผู้มีความเพียงพอในเรื่องต่างๆ แล้วไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ใครจะได้จะเสียอะไร ตัวท่านจะต้องรู้จักตัวเองว่า ความพอดีของตัวท่านเองอยู่ที่ไหนแล้วอารมณ์ของท่านจะสดใส อย่าวิ่งตามกระแสสังคม
อาหาร ในแต่ละมื้ออาหารท่านควรจะรับประทานให้พออิ่ม อย่าให้มากหรือน้อยจนเกินไป และที่สำคัญ ควรรับประทานอาหารที่มีผักมากๆ เนื่องจากการย่อยจะง่าย ท้องไส้ไม่ปั่นป่วน ควรจะทานเนื้อให้น้อยๆ เน้นผลไม้ให้มาก ชีวิตระหว่างมื้ออาหารท่านก็จะสดใสไม่หงุดหงิด
การให้ ท่านจะต้องรู้จักที่จะใช้ประโยชน์จากการให้ เช่นให้รอยยิ้ม ให้คำชม ให้การช่วยเหลือ ให้อาหาร มีความปรารถนาดีกับคนรอบข้าง แล้วท่านจะได้รู้ว่าวันที่ท่านมีโอกาสให้วันนั้นจะเป็นวันที่ท่านมีความสุขอย่างแท้จริง
บำบัดรักษา เมื่อเจ็บป่วยหรือรู้สึกไม่สบายใจ เช่นเป็นไข้ เป็นหวัด ก็ให้รีบรักษาเนื่องจากอาการเจ็บป่วยทางกายทำให้จิตใจไม่สดชื่นไปด้วย
ทำให้คนอื่นเกิดความประทับใจ เมื่อแรกพบท่านด้วยการแสดงความเป็นคนอารมณ์ดีแล้วคนอื่นจะจดจำท่านได้ดี มีคนคิดถึง
เรื่องขำขัน พยายามหาเรื่องที่ขำขันมาเล่าให้กันฟัง เพื่อสร้างความสดชื่นให้กับวงสนทนา แต่ต้องหลีกเลี่ยงการนำเรื่องความผิดพลาดของคนอื่นมาเล่าตลกกัน เพราะถ้าท่านโดนด้วยตัวเองคงจะอารมณ์ไม่ดี
ท่านต้องฝึกตัวเองเป็นฆาตกร เป็นนักฆ่า เพื่อฆ่ากิเลสตัณหาในตัวของท่าน เมื่อฆ่าความไม่ดีไมงามทั้งหลายออกจากจิตใจ ชีวิตก็จะเป็นสุขสนุกสนาน
หัวเราะ การหาโอกาสหัวเราะให้ได้ในแต่ละวันจะเป็นกำไรชีวิต แถมอารมณ์ก็ดีด้วย ถ้าอยู่คนเดียวก็ลองนึกถึงเรื่องที่ท่านเคยขำ แล้วท่านจะหัวเราะ การหัวเราะแต่ละครั้งจะช่วยยืดอายุท่านได้ 12 นาที
ตื่นเช้า การตื่นเช้าต้อนรับวันใหม่จนเป็นนิสัยจะทำให้ท่านรู้สึกสบายใจเนื่องจากไม่ต้องเร่งรีบจนเกินไปในการเดินทางไปทำงาน ตลอดวันทำงานรับรองอารมณ์ท่านจะดีอย่างแน่นอน
ทางสายกลาง ท่านจะต้องพยายามทำตัวเองให้มีความพอดี มีความสมดุล ไม่วิ่งตามโลกตามกระแสสังคมมากเกินไป เมื่อสังคมภายนอกเปลี่ยนแปลงท่านก็จะอยู่ได้อย่างไม่เจ็บปวด
ผู้ชมหน้าเวที กำลังจ้องมองท่านอยู่ ให้สมมุติว่าตัวท่านเป็นนักแสดงที่ยิ่งใหญ่ เป็นดาราระดับซูปเปอร์สตาร์ ทุกอย่างที่ท่านกำลังทำหรือจะทำคือการแสดง แล้วท่านจะมีอารมณ์ดีตลอดกาล
มองโลกในแง่บวก ความไม่ดี ความคิดเชิงลบเป็นตัวส่งเสริมความหงุดหงิดของอารมณ์ จงเลือกที่จะคิดในสิ่งที่สร้างสรรค์ มองในมุมที่สบายใจ ใช้ความเป็นธรรมในการตัดสินปัญหา
จดข้อความที่น่าสนใจ มีข้อคิด กลอน คำกล่าว คติเตือนใจ หลายๆอันที่น่าสนใจและเมื่อได้เห็นได้อ่านแล้วสบายใจ ก็ให้จดไว้ใกล้โต๊ะทำงาน เมื่อท่านมองดูแล้วก็จะสบายใจ เช่น " คนอ่านน่ารัก "
อ่าน หาหนังสือที่ช่วยให้อารมณ์ขันมาอ่าน เช่นการ์ตูน ขำขัน นิยายตลก และอาจรวมไปถึงไปถึงการดู วีดีโอตลก ฟังเทปตลก เป็นต้น เหล่านี้สามารถสร้างอารมณ์ที่สดชื่นได้ตลอด
นอน อยากมีอารมณ์ดีจะต้องนอนให้เพียงพอถ้าท่านนอนน้อย วันต่อมาไปทำงานท่านจะรู้สึกว่าเฉื่อยๆ ไม่กระฉับกระเฉง ง่วงนอน คนเราจะต้องนอนวันละประมาณ 7-8 ชั่วโมง ระวังอย่านอนมากเกิน
คิดถึงคนที่เรารักเรื่องที่เราประทับใจ คิดถึงอนาคตของครอบครัวที่มีความสุข พ่อ แม่ ลูก การคิดถึงเรื่องที่มีความสุขจะทำให้ท่านอารมณ์ดีเพราะ " ความคิดเป็นตัวกำหนดชีวิตของท่าน "
เข้าใจอะไรง่าย ฝึกเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ แล้วทำความเข้าใจ บางคนเป็นคนมีปัญหาชอบตั้งคำถามจนคนอื่นรำคาญใจ ตัวเองก็พลอยหงุดหงิดไปด้วย
วิตามิน ชนิดต่างๆ มีความสำคัญต่อนร่างกายเช่น วิตามิน อี มีผลต่อผิวหนัง วิตามินซีมีส่วนช่วยให้ฟันแข็งแรง ดังนั้น ถ้าร่างกายได้รับวิตามินชนิดต่างๆ ตามที่ร่างกายต้องการก็จะทำให้สุขภาพดี
ความปรารถนา ท่านจะต้องกำหนดให้เป็นพันธกิจของตัวเองเลยว่า "ข้าพเจ้าจะเป็นคนที่อารมณ์ดีตลอดกาล ไม่ว่าปัญหาใดๆ จะเข้ามาในชีวิตก็ตาม"
งดเว้น การดื่มสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะเป็นบ่อเกิดแห่งปัญหาอื่นๆ อีกมากมาย เช่น อุบัติเหตุ รายได้ของครอบครัว ทะเลาะวิวาท แถมบั่นทอนสุขภาพ ควรอยู่ให้ห่างของมึนเมา
ร้องออกมาเสียงดังๆ เมื่อท่านทำอะไรบางอย่างสำเร็จ เช่นทำงานโครงการที่ใช้เวลานาน แข่งกีฬาชนะ ขายสินค้าได้ แต่ก็ควรระวังก่อนจะร้องออกมาดูคนรอบข้างด้วย
การมีใจจดจ่อ ต่อเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของท่านแต่ละอย่าง คิดอย่างรอบคอบเพื่อลดความผิดพลาด อันเป็นบ่อเกิดของอารมณ์ที่ไม่ดี
ท้ายสุดทุกท่านถ้าทำได้ตามข้อแนะนำเบื้องต้นแล้ว อารมณ์ท่านก็จะดีตลอดกาล เริ่มตั้งแต่วันนี้ ขอฝากคำกลอนเป็นข้อคิดให้กับท่านผู้อ่านทุกท่าน

" ถ้าครั้งหนึ่งในชีวิตเคยผิดพลาด
ต้องฉลาดเรียนรู้สู่ความหวัง
นำสิ่งนั้นมาเสริมเพิ่มพลัง
ทิ้งความหลังเพื่อชีวิตใหม่สดใสเทอญ "
http://kunkhong.blogspot.com/2008/08/26.html

กิจกรรมตัวอย่างสำหรับการออกกำลังกาย



การเล่นกีฬาแต่ละชนิดจะให้ผลต่อหัวใจเหมือนกันหรือไม่
การออกกำลังกายจะมีผลดีต่อปอด และหัวใจ คือการออกำลังกายที่สม่ำเสมอต่อเนื่อง และมีความหนักพอควร ดังนั้นการเล่นกีฬา หรือการออกกำลังกายแต่ละชนิดจะมีผลต่อหัวใจ และปอดไม่เหมือนกัน ตารางข้างล่างเป็นการแสดงการออกกำลังกายที่มีผลต่อปอด และหัวใจ
ออกกำลังกายอย่างเบาLight-Intensity Activities ต้องใช้เวลาในการออกกำลังกาย 60 นาที
  • การเดินอย่างช้า
  • การเล่นกอลฟ์
  • การว่ายน้ำอย่างช้า
  • การทำสวน
  • การขี่จักรยานที่มีความต้านต่ำ
  • การกวาดบ้านหรือดูดฝุ่น
  • การทำกายบริหาร
  • Badminton
  • Baseball
  • Bowling
  • Football
  • Gardening
  • การทำงานบ้าน Housework
  • Ping-pong
  • Social Dancing
การออกกำลังกายปานกลาง Moderate-Intensity Activities: ใช้เวลาในการออกกำลังกาย 30-60 นาที

  • เดินอย่งเร็ว
  • การเล่นกอลฟ์โดยการแบกถุงกอลฟ์
  • การว่ายน้ำอย่างต่อเนื่อง
  • การตัดหญ้า
  • การเล่นเทนนิสชนิดคู่
  • ขี่จักรยาน 5-9 ไมล์
  • การขัดพื้นหรือล้างหน้าต่าง
  • การยกน้ำหนัก
  • Basketball
  • Handball
  • Soccer
  • Squash
  • Tennis 
  • Volleyball
  • Walking Moderately
การออกกำลังกายอย่างหนัก Vigorous-Intensity Activities: ใช้เวลาในการออกกำลังกาย 20-30 นาที
  • การวิ่งแข่ง การวิ่งจ็อกกิ่ง
  • การว่ายน้ำแข่ง
  • การตัดหญ้าโดยใช้มือ
  • การเล่น Tennis เดี่ยว
  • การขี่จักรยานขึ้นเขาหรือขี่มากกว่า 10 ไมล์
  • การเคลื่อนย้ายเฟอร์นิเจอร์
  • การบริหารใน ฟิตเนส
  • Aerobic Dancing
  • Bicycling
  • Jogging
  • Jumping Rope
  • Running in Place
  • Stair-climbing
  • Stationary Cycling
  • Swimming
  • Walking Briskly
เนื่องจากการออกกำลังกายแต่ละชนิดมีความหนักหรือการใช้ออกซิเจนไม่เท่ากัน ดังนั้นระยะเวลาที่ใช้จึงต้องแต่ต่างกัน กิจกรรมที่เบาหรือปานกลางต้องใช้เวลามากกว่ากิจกรรมที่หนัก โดยทั่วไปมีหลักดังนี้
  • การออกกกำลังกายอย่างเบาควรจะใช้เวลาในการออกกำลังประมาณ 60 นาที
  • การออกกกำลังกายชนิดปานกลางใช้เวลาในการอออกกำลังกายประมาณ 30-60 นาที
  • การออกกกำลังกายชนิดหนักใช้เวลาในการอออกกำลังกายประมาณ 20-30 นาที

“ลดเค็มครึ่งหนึ่ง คนไทยห่างไกลโรค”


โครงการ “ลดเค็มครึ่งหนึ่ง คนไทยห่างไกลโรค” ภายใต้ “โครงการขับเคลื่อนรณรงค์เพื่อลดการบริโภคเกลือ (โซเดียม) ในประเทศไทย” ซึ่งเป็นความร่วมมือของราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย, สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย, สมาคมต่อมไร้ท่อแห่งประเทศไทย, สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย, มูลนิธิโรคไตแห่งประเทศไทย, สถาบันโรคไตภูมิราชนครินทร์, กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมสนับสนุนและส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลดการบริโภคอาหารรสชาติเค็ม โดยเน้นรณรงค์ลดการบริโภคเค็มลงครึ่งหนึ่งก่อน เพื่อลดความเสี่ยงป่วยด้วยโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคเรื้อรังข้างต้นซึ่งล้วนเป็นโรคที่ต้องใช้งบประมาณในการรักษาพยาบาลสูง
โครงการได้เข้าร่วมงาน Thailand Medical Expo 2012 ในระหว่างวันที่ 31 ต.ค.-2 พ.ย. 2555 ที่ผ่านมา ณ ศูนย์การแสดงสินค้าไบเทค บางนา ซึ่งภายในงานมีการออกบู๊ทจากคณะแพทย์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ โรงพยาบาลชั้นนำ ราชวิทยาลัยต่างๆในการดูแลของแพทยสมาคม ซึ่งโครงการฯได้เป็นตัวแทนของ ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย ออกบู๊ทแสดงตัวอาหารที่นิยมบริโภคทั่วไปพร้อมทั้งแสดงปริมาณเกลือที่เป็นส่วนผสมของอาหารเหล่านั้น และยังมีการให้ความรู้แก่ประชาชนที่สนใจ โดยนักกำหนดอาหารและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งมีการเล่นเกมแจกของรางวัล ซึ่งบู๊ทของโครงการฯเป็นที่สนใจของทั้งนักเรียนนักศึกษา แพทย์ และประชาชนผู้เข้าร่วมงาน

ในวันที่ 2 ต.ค. 2555 โครงการฯได้รับเกียรติจาก อาจารย์ยิ่งศักดิ์ จงเลิศเจษฎาวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านอาหาร มาสาธิตการประกอบอาหารลดเค็มได้แก่ ผักม้วน 5 สีน้ำแดง ซึ่งได้รับความสนใจจากคนในงานเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ยังมีการแจกอาหารให้ผู้เข้าร่วมงานได้ชิมกันอย่างถ้วนหน้า และในช่วงบ่าย มีการเสวนาเรื่อง “ลดเค็มครึ่งหนึ่ง คนไทยห่างไกลโรค” โดย นายแพทย์สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ ประธานโครงการฯ แพทย์หญิงวีรนุช รอบสันติสุข สาขาโรคความดันโลหิตสูง ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราช และนักกำหนดอาหาร โดยได้รับเกียรติจาก ทญ.กิตติลักษณ์ จุลลัษเฐียร (จุ้มจิ้ม AF1) ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดียิ่ง
ที่มา : เครือข่ายลดบริโภคเค็ม  http://www.thaihealth.or.th/node/31513

พบคนไทยกินเค็มเกินต้องการ 2 เท่า เร่งรณรงค์ “ลดเค็มครึ่งหนึ่ง คนไทยห่างไกลโรค


          ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ฯ จับมือ สธ.-สสส. และเครือข่ายลดบริโภคเค็ม เร่งรณรงค์ “ลดเค็มครึ่งหนึ่ง คนไทยห่างไกลโรค” พบคนไทยกินเค็มเกินต้องการ 2 เท่า ได้รับเกลือไม่รู้ตัว เหตุกินข้าวนอกบ้าน ชอบเติมเครื่องปรุงกลายเป็นภัยเงียบ เสี่ยงเป็นความดัน หัวใจ โรคไต อัมพฤกษ์ อัมพาต แนะกินเกลือไม่เกิน 1 ช้อนชาต่อวัน เร่งให้ความรู้ ประชาชน บุคลากรทางการแพทย์ เปลี่ยนพฤติกรรมการกิน

          นพ.โสภณ  เมฆธน รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ปัจจุบันโรคเรื้อรังถือเป็นปัญหาสาธารณสุขใหญ่ของไทย พบว่า คนไทยเป็นโรคความดันโลหิตสูง คิดเป็นร้อยละ 21.4 หรือ11.5 ล้านคน โรคไต ร้อยละ 17.5 หรือ 7.6 ล้านคน โรคหัวใจขาดเลือด ร้อยละ 1.4 หรือ 0.75 ล้านคน โรคหลอดเลือดสมอง โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ร้อยละ 1.1 หรือ 0.5 ล้านคน โรคกลุ่มนี้เกิดจากพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่ถูกต้อง อาหารรสชาติเค็ม เป็นอาหารที่มีเกลือ หรือ โซเดียมสูง ถือเป็นภัยเงียบที่ส่งผลร้ายต่อสุขภาพอย่างคาดไม่ถึง จึงแนะนำให้บริโภคเกลือไม่เกินวันละ 5 กรัม ถ้าเทียบเป็นปริมาณโซเดียมก็ไม่ควรเกิน วันละ 2,400 มิลลิกรัม ซึ่งปริมาณดังกล่าวเทียบเท่ากับเกลือ 1 ช้อนชา
          “จากการสำรวจพบว่า คนไทยบริโภค เกลือ และโซเดียมสูงกว่าเกินที่แนะนำ 2 เท่า หรือ 10.8 กรัม หรือ 5,000 มิลลิกรัมต่อวัน การรับประทานอาหารรสเค็มจัด จะส่งผลให้ความดันโลหิตสูง เพิ่มการรั่วของโปรตีนในปัสสาวะ และยังมีผลเสียต่อไตโดยตรง ทำให้หัวใจทำงานหนักก่อให้เกิดภาวะหัวใจวาย และความดันโลหิตสูง ความดันในสมองเพิ่มขึ้น มีโอกาสเป็นโรคอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนงานตามยุทธศาสตร์สุขภาพดีวิถีชีวิตไทย (2550-2559) โดยกำหนดเป้าหมายหลักในการพัฒนาลดปัญหาโรควิถีชีวิต ที่สำคัญ 5 โรค (เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หัวใจขาดเลือด หลอดเลือดสมอง มะเร็ง)” นพ.โสภณกล่าว
           ศ.นพ.เกรียง  ตั้งสง่า ประธานราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย ทำหน้าที่เผยแพร่ให้ความรู้แก่ประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคต่างๆ และเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคให้เหมาะสม จะช่วยลดภาระโรค รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่เกี่ยวกับโรคเรื้อรัง ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าวจึงได้จัดโครงการ “ลดเค็มครึ่งหนึ่ง คนไทยห่างไกลโรค” ภายใต้ “โครงการขับเคลื่อนรณรงค์เพื่อลดการบริโภคเกลือ (โซเดียม) ในประเทศไทย” ซึ่งเป็นความร่วมมือของราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย, สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย, สมาคมต่อมไร้ท่อแห่งประเทศไทย, สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย, มูลนิธิโรคไตแห่งประเทศไทย,สถาบันโรคไตภูมิราชนครินทร์, กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมสนับสนุนและส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลดการบริโภคอาหารรสชาติเค็ม
          ผศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ ประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็ม กล่าวว่า จากการสำรวจพฤติกรรมการบริโภคอาหารมื้อหลักของคนไทย พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ (ร้อยละ 70) ซื้ออาหารกลางวันนอกบ้าน ประเภทอาหารที่ทานบ่อยคือ ข้าวราดแกง อาหารจานเดียว/อาหารตามสั่ง และก๋วยเตี๋ยว ที่สำคัญพบว่าประชากรมีพฤติกรรมการปรุงเพิ่ม โดยเติมเครื่องปรุงรสเป็นนิสัย คนไทยได้รับโซเดียมจากการกินอาหารในแต่ละมื้อโดยไม่รู้ตัว ซึ่งมักอยู่ในอาหารแปรรูป โดยเฉพาะจากเครื่องปรุงรสซึ่งนิยมใช้มาก 5 ลำดับแรก คือ น้ำปลา ซีอิ๊วขาว เกลือ กะปิ และซอสหอยนางรม เมื่อเทียบจะพบว่าเกลือ 1 ช้อนโต๊ะ มีปริมาณโซเดียม 6,000 มิลลิกรัม น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ มีปริมาณโซเดียม 1,160-1,420 มิลลิกรัม ซีอิ๊ว 1 ช้อนโต๊ะ มีปริมาณโซเดียม 960-1420 มิลลิกรัม ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะมีปริมาณโซเดียม 1,150 มิลลิกรัม กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ มีปริมาณโซเดียม 1,430-1,490 มิลลิกรัม ซอสหอยนางรม1 ช้อนโต๊ะ มีปริมาณโซเดียม 420-490 มิลลิกรัม
        ผศ.นพ.สุรศักดิ์  กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังพบว่าอาหารถุงปรุงสำเร็จ มีปริมาณโซเดียมเฉลี่ยต่อถุง 815-3,527 มิลลิกรัม อาทิ ไข่พะโล้  แกงไตปลา คั่วกลิ้ง ฯลฯ ส่วนอาหารจานเดียว มีปริมาณโซเดียม 1,000-2,000 มิลลิกรัมต่อหนึ่งจาน อาทิ ข้าวหน้าเป็ด ข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู และข้าวคลุกกะปิ ฯลฯ ทั้งนี้การเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคเพื่อลดเค็ม ทำได้ง่ายๆ คือ 1.หลีกเลี่ยงการใช้เกลือ น้ำปลา ซอสปรุงรสต่างๆ และผงชูรส 2.หลีกเลี่ยงการเติมเครื่องปรุงในอาหารจานเดียว 3.หลีกเลี่ยงอาหารประเภทดองเค็ม อาหารแปรรูป 4.เลือกรับประทานอาหารที่มีหลายรสชาติ เช่น แกงส้ม ต้มยำ เพื่อทดแทนรสชาติเค็ม 5.น้ำซุปต่างๆ เช่น ก๋วยเตี๋ยว ควรรับประทานแต่น้อยหรือเทน้ำซุปออกบางส่วนแล้วเติมน้ำเพื่อเจือจางลง และ6.สังเกตปริมาณโซเดียมที่ฉลากผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทั้งอาหารสำเร็จรูป และขนมถุง ก่อนรับประทาน
ที่มา : สำนักข่าวสร้างสุข  http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/news_thaihealth/31089




Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More