www.facebook.com/kuunepage

..... คูเน่ คู่ครัว คู่มื้อสุขภาพ คู่คุณ

คูเน่ นวัตกรรมเครื่องปรุงครบรส จากธรรมชาติเพื่อสุขภาพ

.

Search This Blog

Translate

คุ้มค่าด้วยคุณค่า เติมสุขเสริมสุขภาพ ใช้ปรุงอาหาร หรือชงดื่มเพื่อสุขภาพ หอมชงปานะ

นวัตกรรมเครื่องปรุงครบรสเพื่อสุขภาพ ผลงานวิจัยดีเด่น ม.เกษตรฯ ผลิตจากหอมหัวใหญ่ เข้มข้น 3 เท่า ช่วยป้องกันความเสี่ยงต่อโรคอ้วน ความดัน เบาหวาน หัวใจ สารก่อมะเร็ง ช่วยชะลอความชรา
อีกทั้งช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ (อนุภาคหอมหัวใหญ่จะเกาะตัวกันตามธรรมชาติ โดยปราศจากสารเคมีป้องกันการเกาะตัว)

Friday, February 13, 2015

PTP on the moves... Kuu Ne คูเน่ หนึ่งในนวัตกรรมเด่นในรอบ 72 ปี ม.เกษตร



คูเน่ หนึ่งในนวัตกรรมเด่นในรอบ 72 ปี 
ผลงานวิจัย ม.เกษตร ได้รับรางวัลชนะเลิศ  

Kuu Ne Onion Seasoning Powder Low Sodium 




#KuuNe #คูเน่ #ผงปรุงครบรสเพื่อสุขภาพ #โซเดียมต่ำ #ใช้แทนผงชูรสและน้ำสต๊อก(ซุป) #2in1 #ปรุงอาหารก็ได้ หรือ #ชงดื่มก็ดีต่อสุขภาพ #ผลิตจากหอมหัวใหญ่ ช่วยป้องก้นความเสี่ยงต่อ #โรคอ้วน #ความดัน #เบาหวาน #หัวใจ #ต้านสารก่อมะเร็ง #ลดการอักเสบของเซล
#ช่วยชะลอความชรา  
Kuu Ne คูเน่ ... #ภชนาการคุณค่า #เพื่อชีวิตที่ยืนยาว
Kuu Ne คูเน่ ...#Wealth #Nutrition for #Lively #Health
www.ptpfoods.com
Facebook/kuunepage
Line Id : OatEcho


บริษัท ปกธนพัฒน์ จำกัด
ได้รับเกียรติเชิญเป็นผู้ร่วมเสวนา นวัตกรรมขับเคลื่อนธุรกิจ
สู่เส้นทางสายไหมใน AEC
โดยคณาจารย์และบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจ
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์







เจรจาการค้าต่างประเทศ




เข้าจังหวะช่วงเทศกาลต้อนรับตรุษจีน



ความร่วมมือและความสำเร็จ ด้วยมิตรภาพและความจริงใจ


#PTP on the moves ... Kuu Ne wealth nutrition for lively health

 #คูเน่ #หนึ่งในนวัตกรรมเด่นในรอบ72ปี #ผลงานวิจัย #ม.เกษตร #ได้รับรางวัลชนะเลิศ  
Kuu Ne #Onion #Seasoning #Powder
   #Low #Sodium 

Saturday, February 7, 2015

เมนูอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีของผู้สูงอายุ

เมนูอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีของผู้สูงอายุ

เมนูอาหาร


ถ้าที่บ้านของคุณมีผู้สูงอายุร่วมชายคาเดียวกันอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือปู่ย่าตายาย คุณก็คงจะตระหนักกันเป็นอย่างดีว่า พวกท่านจะมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายเยอะมาก ดังนั้น การดูแลเรื่องอาหารการกินจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อให้สุขภาพร่างกายของพวกท่านแข็งแรง จะได้อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้กับลูกหลานไปนานๆ


- อย่างแรกที่เห็นได้ชัดเจนคือความเสื่อมเรื่องสุขภาพฟันค่ะ ควรเลือกเมนูอาหารที่นิ่มและเคี้ยวง่ายๆ

- ลดปริมาณเมนูอาหารที่ทำจากแป้งให้น้อยลง เนื่องจากร่างกายของผู้สูงอายุมีการใช้งานกล้ามเนื้อลดลงไปมาก อาหารพวกคาร์โบไฮเดรตส่วนเกินจะไปสะสมพอกพูน ทำให้น้ำหนักตัวเยอะ อาจส่งผลให้ข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้นก็เป็นได้ค่ะ

- อาหารประเภทโปรตีนก็ยิ่งจำเป็นต่อการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ช่วยสร้างเซลล์ใหม่ๆ ขึ้นมาทดแทน ซึ่งเนื้อสัตว์ที่เหมาะกับร่างกายผู้ใหญ่วัยนี้ควรจะเป็นเป็นเนื้อไก่ไม่ติดหนัง หรือเนื้อปลา เลี่ยงเนื้อหมูและเนื้อวัว เพราะทั้งย่อยยาก ทั้งไขมันเยอะ หรืออาจจะเลี่ยงเนื้อสัตว์มารับประทานพวกเต้าหู้ หรือถั่วชนิดต่างๆ โดยเฉพาะนมถั่วเหลือง ก็ดีต่อสุขภาพของผู้สูงอายุเช่นกันค่ะ

- เพิ่มวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกายด้วยการรับประทานข้าวกล้อง ข้าวกล้องงอก ผักและผลไม้ให้เยอะๆ เพื่อเพิ่มวิตามิน แร่ธาตุ และกากใยอาหาร ลดปัญหาท้องผูก เพราะระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่เหมือนเดิมตามวัยที่เพิ่มมากขึ้น และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ต้องพยายามเลี่ยงการจัดเมนูอาหารที่มีไขมันสูงๆ ให้มากที่สุดนะคะ เพราะไขมันนำพามาแต่โรคร้ายๆ ไม่ว่าจะความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และที่อาจจะพ่วงตามมาอีกมากมายเลยล่ะค่ะ

เมนูอาหาร
เมนูอาหาร

เมนูอาหาร
เมนูอาหาร

                                     เมนูอาหาร
เมนูอาหาร

ที่มา : www.decembertown.com 

วิ่งเหยาะๆ ทำให้อายุยืนกว่าวิ่งเร็วๆ จริงหรือไม่? ควรวิ่งนานแค่ไหน? งานวิจัยในเดนมาร์กมีคำตอบ

นักวิจัยเดนมาร์กพยายามศึกษาหาคำตอบว่า การวิ่งที่เหมาะสมที่สุดนั้นควรช้าหรือเร็วแค่ไหน? 
นานเท่าไร?



การออกกำลังกายด้วยการวิ่ง เป็นทางเลือกยอดนิยมที่สุดสำหรับคนที่ต้องการเผาผลาญแคลอรี่และมีร่างกายแข็งแรง มีอายุยืนยาว แต่หลายคนอาจจะยังสงสัยว่าการวิ่งที่เหมาะสมที่สุดนั้น ควรช้าหรือเร็วแค่ไหน นานเท่าไร ซึ่งนักวิจัยเดนมาร์กพยายามศึกษาหาคำตอบเรื่องนี้
รายงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of the American College of Cardiology รวบรวมข้อมูลกลุ่มตัวอย่างชายหญิงวัยผู้ใหญ่ 1,098 คน ซึ่งวิ่งเป็นประจำสม่ำเสมอ ภายใต้โครงการศึกษา Copenhagen City Heart Study โดยได้ศึกษาข้อมูลความถี่ในการวิ่ง ระยะทาง เวลาที่ใช้ และอัตราเร่ง ตั้งแต่ปี ค.ศ 2001 จากนั้นนำข้อมูลไปเปรียบเทียบกับคนที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย 3,950 คน
จากการวิเคราะห์ข้อมูล พบว่าคนที่วิ่งเป็นประจำแม้จะวิ่งเหยาะๆ จะมีอายุยืนยาวกว่าคนที่ไม่ได้วิ่งเลย แต่ที่น่าแปลกใจคือคนที่วิ่งเหยาะๆ กลับมีอายุยืนกว่าคนที่วิ่งเร็วด้วย โดยรายงานพบว่าคนที่วิ่งเร็วกับไม่ได้วิ่งเลยนั้น มีอายุเฉลี่ยพอๆ กัน
รายงานชิ้นนี้ระบุว่า ระยะเวลาการวิ่งที่ทำให้อายุยืนยาวที่สุด คือการวิ่งเหยาะๆ ประมาณ 1 ชม. – 2 ชม.ครึ่ง ต่อสัปดาห์ แต่รายงานมิได้ระบุเจาะจงว่าการวิ่งช้าหรือเหยาะๆ นั้นคือกี่นาทีต่อกิโลเมตร เพียงแต่แบ่งเป็น 3 ระดับ คือวิ่งช้า วิ่งปกติ และวิ่งเร็ว แล้วให้กลุ่มตัวอย่างระบุเองว่าลักษณะการวิ่งของพวกเขาเป็นแบบไหน
นักวิจัย Jacob Louis Marott ผู้นำการวิจัยครั้งนี้บอกว่า การวิ่งด้วยอัตราที่เร็วเกินไปนั้นอาจไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควรในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความยืนยาวของชีวิต ซึ่งอาจเป็นเพราะการออกกำลังกายอย่างหนักบ่อยๆอาจสร้างผลเสียต่อกล้ามเนื้อหัวใจได้
อย่างไรก็ตามยังมีประเด็นโต้แย้งอยู่บ้าง หนึ่งคือจำนวนกลุ่มตัวอย่างที่ชอบวิ่งเร็วๆบ่อยๆในการทดลองครั้งนี้ยังน้อยเกินไป สองคือนักวิจัยเดนมาร์กมิได้ระบุถึงสาเหตุการเสียชีวิตของกลุ่มตัวอย่างนักวิ่งเหล่านั้นไว้ชัดเจน   
รายงานจาก New York Times / เรียบเรียงโดยทรงพจน์ สุภาผล

อัยการรัฐนิวยอร์คเตือนวิตามินอาหารเสริมที่ขายดีในท้องตลาดมีสารอาหารไม่ตรงกับฉลาก

สำนักงานอัยการรัฐนิวยอร์คกล่าวหาธุรกิจขายปลีกรายใหญ่ในอเมริกาว่าขายผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่หลอกลวงและอาจเป็นอันตรายได้ หลังตรวจสอบตัวอย่างไม่พบสารอาหารตามที่โฆษณา

Herbal Supplements Investigation

สำนักงานอัยการรัฐนิวยอร์คกล่าวว่าได้ทดสอบอาหารเสริมขายดีที่กล่าวอ้างว่าผลิตจากสมุนไพร ของบริษัทธุรกิจขายปลีกรายใหญ่ 4 ราย คือ GNC, Target, Walgreens และ Walmart และพบว่า 4 ใน 5 ของผลิตภัณฑ์ที่นำมาตรวจสอบ ไม่มีสมุนไพรเป็นส่วนประกอบตามที่ระบุไว้ในฉลากของบรรจุภัณฑ์
หนังสือพิมพ์ New York Times ซึ่งรายงานข่าวเรื่องนี้ กล่าวว่า การทดสอบเป็นการตรวจหา DNA ของสมุนไพรที่ผู้ผลิตระบุไว้ในฉลาก ผลปรากฎว่า ส่วนประกอบของอาหารเสริมเหล่านั้น มักจะเป็นสารเพิ่มปริมาณราคาถูก เช่น ข้าว หน่อไม้ฝรั่ง หรือพืชผักที่ปลูกตามบ้าน นำมาป่นละเอียดเป็นผงมากกว่า ส่วนประกอบที่เป็นสมุนไพรนั้นมีพียงเล็กน้อย หรือไม่มีเลย
เรื่องสรรพคุณและความปลอดภัยของอาหารเสริม เป็นเรื่องที่ผู้เชี่ยวชาญทางสุขภาพอนามัยร้องเรียนมานานแล้ว แต่กฎหมายฉบับปี ค.ศ. 1994 ของสหรัฐ ให้การยกเว้นกับอาหารเสริม โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบที่เข้มงวดขององค์การอาหารและยาของรัฐบาล ผู้ผลิตเพียงแต่ให้การรับรองกับองค์การอาหารและยาว่าผลิตภัณฑ์ของตนปลอดภัย และได้ระบุส่วนประกอบไว้ที่ฉลากของบรรจุภัณฑ์อย่างถูกต้องตรงกับความเป็นจริง
รายงานของ New York Times กล่าวว่า วุฒิสมาชิก Orrin Hatch สังกัดพรรค Republican เป็นผู้เขียนร่างกฎหมายฉบับนี้ และได้ให้การปกป้องคุ้มครองความพยายามใดๆ ที่จะแก้ไขปรับเปลี่ยนกฎหมายนี้มาตลอด แม้จะมีกรณีอื้อฉาวเกี่ยวกับการปนเปื้อนอาหารเสริมที่ทำให้มีผู้บริโภคเจ็บป่วยและถึงแก่ชีวิตมาแล้วในอดีต
รายงานของ New York Times กล่าวไว้ด้วยว่า สว. Orrin Hatch ได้รับเงินบริจาคเป็นจำนวนมากเพื่อการหาเสียงเลือกตั้งจากอุตสาหกรรมอาหารเสริม
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่หน่วยงานรักษากฎหมายในสหรัฐ ขู่จะดำเนินคดีกับธุรกิจขายปลีกรายใหญ่ระดับชาติสำหรับการขายผลิตภัณฑ์ที่จงใจให้ข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่ผิดพลาดแก่ผู้บริโภค
นอกจากจะเรียกร้องให้ธุรกิจขายปลีกเหล่านี้เลิกขายผลิตภัณฑ์อาหารเสริมดังกล่าวแล้ว สำนักงานอัยการรัฐนิวยอร์คยังได้มีคำสั่งให้ธุรกิจเหล่านี้ จัดทำคำอธิบายกระบวนการที่ใช้ในการตรวจสอบส่วนประกอบอาหารเสริมให้ด้วย
ที่มา : http://www.voathai.com/content/newyork-and-supplement-nm/2631363.html

Thursday, January 15, 2015

ยืนกระต่ายขาเดียว 20 วินาที วิธีง่ายๆในการทดสอบโรคหลอดเลือดในสมอง

ยืนกระต่ายขาเดียว 20 วินาที วิธีง่ายๆในการทดสอบโรคหลอดเลือดในสมอง

หากคุณยืนกระต่ายขาเดียวได้นานไม่เกิน 20 วินาทีอาจหมายความว่าคุณมีปัญหาเกี่ยวเส้นเลือดในสมอง

Struggling to balance on one leg for more than 20 seconds could indicate greater risk of stroke. (©Yasuharu Tabara, Kyoto University Graduate School of Medicine)

ทีมนักวิจัยญี่ปุ่นที่ศูนย์ Center for Genomic Medicine ที่มหาวิทยาลัย Kyoto  University ชี้ว่าคนที่ไม่สามารถรักษาสมดุลได้ขณะทดลองยืนกระต่ายขาเดียวในระยะเวลาะสั้นๆได้ ควรเข้ารับการตรวจร่างกายจากแพทย์เพื่อดูสุขภาพของเส้นเลือดในสมอง 
ทีมนักวิจัยทีมนี้ให้อาสาสมัครชายและหญิงที่ร่างกายแข็งแรงดี อายุเฉลี่ย 67 ปี จำนวนเกือบ 1,400 คนทดลองยืนกระต่ายขาเดียว โดยจับเวลาว่ายืนขาเดียวได้นานแค่ไหน อาสาสมัครลืมตาขณะยืนบนขาข้างเดียวโดยยกขาข้างหนึ่งขึ้นเหนือพื้น
ทีมนักวิจัยพบว่าอาสาสมัครที่ไม่สามารถรักษาสมดุลขณะยืนกระต่ายขาเดียวได้นาน 20 วินาทีเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นต่ออาการเส้นเลือดในสมองแตก ทีมนักวิจัยใช้เทคโนโลยีการถ่ายภาพสมองเป็นตัวช่วยยืนยันความเสี่ยงต่อโรคนี้ 
ผู้สื่อข่าววีโอเอรายงานว่าอาสาสมัครในการวิจัยที่พบว่ามีปัญหาสุขภาพของเส้นเลือดในสมองเป็นกลุ่มที่สูงวัยและเป็นโรคความดันโลหิตสูงอยู่แล้ว 
ทีมนักวิจัยญี่ปุ่นทีมนี้ได้ตีพิมพ์ผลการศึกษาไปเมื่อเร็วๆ นี้ในวารสาร American Heart Association journal Stroke พวกเขาชี้ด้วยว่า อาสาสมัครที่เสียสมดุลขณะยืนกระต่ายขาเดียวนาน 20 วินาทียังเป็นผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับความสามารถทางความคิดอ่านอีกด้วย 
ที่มา : http://www.voathai.com/content/combined-health-strokres-tk/2595981.html

Sunday, January 11, 2015

อาหารในแต่ละช่วงวัยของชีวิต

อาหารในแต่ละช่วงวัยของชีวิต  Diet throughout life



การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนทุกวัย อย่างไรก็ดีความต้องการอาหารในแต่ละช่วงอายุมีความแตกต่างกัน เช่น วัยเด็กต้องการพลังงานสูงเพื่อการเจริญเติบโต เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายต้องมีการควบคุมน้ำหนักเพื่อรักษาสุขภาพให้แข็งแรง บทความนี้ได้ให้แนวทางในการเลือกอาหารที่เหมาะสมในแต่ละช่วงชีวิตตั้งแต่วัยทารก วัยเด็ก วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ จนถึงวัยสูงอายุ


วัยทารก
ทารกแรกเกิดถึง 6 เดือน ยังไม่ต้องการอาหารใดๆ นอกจากนมแม่หรือนมผงดัดแปลงสำหรับทารก ทารกบางคนอาจแพ้นมวัวที่อยู่ในนมผง ดังนั้นหากสงสัยว่าทารกแพ้นมวัวให้รีบปรึกษาแพทย์ทันที นมแม่เป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารกเพราะนมแม่ประกอบด้วยสารอาหารต่างๆ ที่ทารกต้องการอย่างครบถ้วน แต่เมื่อทารกอายุครบ 6 เดือน สารอาหารในนมแม่อาจไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ดังนั้นจึงควรเริ่มให้อาหารอื่นๆ นอกจากการให้นมแม่ ซึ่งเรียกว่าเข้าช่วงการหย่านม (Weaning) นั่นเอง การเริ่มหย่านมนั้นขึ้นกับพัฒนาการของเด็ก ซึ่งมีความแตกต่างกันในแต่ละคน โดยอาจเริ่มให้อาหารที่มีลักษณะของความเป็นเนื้ออาหารเพื่อกระตุ้นให้ทารกรู้จักการบดเคี้ยว แต่ห้ามเติมเกลือลงในอาหารเนื่องจากไตของทารกยังไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ และเช่นเดียวกันห้ามทารกดื่มน้ำผึ้งจนกว่าจะอายุครบหนึ่งขวบ เนื่องจากในน้ำผึ้งอาจมีแบคทีเรียที่อาจเป็นอันตรายต่อทารกได้   
อย่างไรก็ตามทารกยังคงต้องการนมแม่หรือนมผง ไปพร้อมกับการให้อาหารอื่นๆ จนกว่าอายุครบ 1 ขวบ ปริมาณที่ให้ก็ขึ้นอยู่กับปริมาณอาหารที่ทารกสามารถรับประทานได้ อย่าพยามยามให้ทารกรับประทานอาหารมากเกินความต้องการ

วัยเด็ก

เด็กมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว จึงต้องการอาหารที่ให้สารอาหารและพลังงานสูง เด็กวัยหัดเดิน (Toddlers) ยังไม่สามารถรับประทานอาหารได้มากนัก ดังนั้นจึงควรป้อนอาหารมื้อเล็กๆ และของว่างที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ผลไม้ชิ้นเล็กๆ แครอทหรือแตงกวาหั่น ซึ่งสามารถป้อนได้เรื่อยๆ ทั้งวัน เมื่อเด็กอายุครบ 5 ขวบก็สามารถให้เด็กรับประทานอาหารทั่วไปเหมือนสมาชิกอื่นๆ ในครอบครัวได้ แต่ห้ามเติมเกลือในอาหารเด็ก สิ่งสำคัญคือเด็กต้องได้รับโปรตีนและแคลเซียมที่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของกระดูกและกล้ามเนื้อ นมและผลิตภัณฑ์จากนมเป็นแหล่งอาหารที่ดีที่ให้ทั้งโปรตีนและแคลเซียมที่จำเป็นสำหรับเด็ก เด็กอายุ 1-3 ขวบต้องการนมอย่างน้อย 8 ออนซ์ต่อวัน (หรือเท่ากับ 240 มิลลิลิตรต่อวัน) นมที่ดีที่สุดสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ คือ นมครบส่วน (Whole milk) หรือผลิตภัณฑ์จากนมไขมันเต็ม (Full fat dairy product) ซึ่งสามารถให้พลังงานเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย

เด็กต้องการอาหารที่หลากหลายและพ่อแม่ต้องพยายามทำให้เวลาบนโต๊ะอาหารเป็นเวลาที่มีความสุขของครอบครัว หลีกเลี่ยงการให้เด็กรับประทานอาหารสำเร็จรูปหรืออาหารประเภทจานด่วน (Fast food) เพื่อพัฒนาให้เด็กมีพฤติกรรมการกินเพื่อสุขภาพตั้งแต่ยังเล็กและมีความคุ้นเคยกับอาหารเพื่อสุขภาพว่าเป็นอาหารที่ควรกินตามปกติเป็นประจำ พ่อแม่ต้องพยายามคิดหาวิธีกระตุ้นให้เด็กรับประทานอาหารที่มีประโยชน์บางชนิดซึ่งเด็กไม่ชอบ และเมื่อเด็กโตขึ้นก็จะผ่านปัญหานี้ไปได้ หรืออาจดัดแปลงอาหารสุขภาพให้เด็กกินได้ง่ายขึ้น เช่น ผสมผักปนเข้าไปในมันบด เป็นต้น
เมื่อเด็กโตขึ้น พ่อแม่ต้องสอนให้เห็นถึงความสำคัญของอาหารสุขภาพและชี้ให้เห็นประโยชน์และโทษของอาหารแต่ละชนิดต่อร่างกาย

วัยรุ่น

วัยรุ่น เป็นวัยที่มีการพัฒนาและการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงต้องการอาหารที่ให้สารอาหารและพลังงานสูง เด็กวัยนี้มักรับประทานอาหารได้มาก แต่สิ่งสำคัญคือต้องมั่นใจว่าเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารมากกว่าขนมหวานหรืออาหารไขมันสูง เช่น น้ำอัดลม เค้ก ขนมปัง ซึ่งมีแคลลอรี่สูงแต่มีคุณค่าทางโภชนาการต่ำ ส่วนประกอบอาหารของวัยรุ่นที่สำคัญ คือ อาหารประเภทแป้งเป็นพื้นฐาน อุดมด้วยผลไม้และผัก และมีผลิตภัณฑ์โปรตีนและนมในปริมาณปานกลาง นอกจากนี้พวกเขายังสามารถรับประทานอาหารเพื่อเพิ่มพลังงานได้จากขนมขบเคี้ยวที่มีคุณค่าทางโภชนาการ เช่น ถั่ว ลูกเกดหรือน้ำผลไม้ปั่นระหว่างมื้ออาหาร  
รูปร่างเป็นสิ่งสำคัญที่คนวัยนี้ให้ความสำคัญ แต่ก็ไม่ควรใช้วิธีอดอาหารในการควบคุมน้ำหนัก วิธีที่ดีที่สุดในการควบคุมน้ำหนักคือ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างสมดุลและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
สิ่งสำคัญอีกประการสำหรับวัยรุ่น คือการรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะเพศหญิงซึ่งสูญเสียธาตุเหล็กไปพร้อมประจำเดือน อาหารที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็กได้แก่ เนื้อแดง ปลา(โดยเฉพาะปลาซาดีน) พืชตระกูลถั่วและธัญพืช

วัยผู้ใหญ่

ความต้องการทางโภชนาการของคนในช่วงอายุ 19-50 ปี ไม่ค่อยแตกต่างกันมากนัก ยกเว้นในหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร อาหารสำคัญสำหรับคนวัยนี้ควรเป็นอาหารประเภทแป้งที่มีเส้นใยสูงและผักผลไม้ มีอาหารโปรตีนพอประมาณจาก เนื้อสัตว์ ถั่ว นม และรับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำตาลและไขมันในปริมาณน้อย สิ่งสำคัญคือการควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสมกับส่วนสูงของตนเอง แอลกอฮอล์เป็นเครื่องดื่มที่ให้พลังงานสูง ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นและทำลายตับ ดังนั้นควรดื่มในปริมาณจำกัดตามที่มีการแนะนำ 

วัยสูงอายุ

เมื่ออายุมากขึ้น ระบบเผาผลาญพลังงานของร่างกายจะลดลง ประกอบกับการมีกิจกรรมทางกายน้อยลง ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้ว คนวัยนี้จะเริ่มรับประทานอาหารน้อยลง อย่างไรก็ตามยังควรรับประทานอาหารเป็นประจำ โดยเน้นผักและผลไม้  หากคุณพบว่าคุณเริ่มเบื่ออาหาร ก็ควรรับประทานอาหารในแต่ละมื้อให้น้อยลง แต่ให้รับประทานอาหารว่างที่มีประโยชน์ในระหว่างมื้ออาหาร และให้เน้นอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น ผลิตภัณฑ์จากนม เพื่อป้องกันภาวะกระดูกพรุน  อย่าลืมดื่มน้ำให้เพียงพอและรับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูงเพื่อป้องกันท้องผูก นอกจากนี้ธาตุเหล็กยังสำคัญสำหรับผู้สูงอายุเช่นกันเพื่อป้องกันโรคโลหิตจาง แหล่งอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงได้แก่ น้ำมันปลา ถั่วอบธัญพืชต่างๆ และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแร่ธาตุวิตามินที่เหมาะสม เป็นต้น


เมื่อคุณอายุมากขึ้น คุณอาจไม่อยากทำอาหารเอง เนื่องจากมีความยุ่งยากในการจับจ่าย ซื้อของ หรือการเตรียมอาหาร คุณจึงอาจซื้ออาหารสำเร็จรูปที่ให้คุณค่าทางอาหารที่ปรุงง่าย เก็บได้นานไว้รับประทานหรือแช่แข็งไว้รับประทานภายหลัง รวมถึงควรมีอาหารกระป๋องที่สามารถเก็บไว้เพื่อรับประทานในกรณีที่คุณไม่สามารถออกจากบ้านได้ การขอความช่วยเหลือจากเพื่อน ญาติพี่น้อง หรือองค์กรทางสังคม ในกรณีที่คุณไม่สามารถจัดซื้อและเตรียมอาหารได้เอง ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ควรคิดเตรียมการไว้
ที่มา :  https://www.bupa.co.th/th/corporate/health-wellbeing/detail.aspx?tid=70#.VLHzmCuUclA
www.ptpfoods.com
www.facebook.com/kuunepage
Line id : OatEcho

Friday, January 9, 2015

อาหารซ่อนเค็ม Infographics

สื่อเรียนรู้ - อาหารซ่อนเค็ม

เกลือเป็นเครื่องปรุงที่นิยมใช้เพิ่มรสชาติและถนอมอาหาร ปัจจุบันคนไทยบริโภคโซเดียมเฉลี่ย 4,400 มิลลิกรัมต่อวัน ทั้งที่เราควรบริโภคเกลือไม่เกิน 1 ช้อนชาต่อวันหรือคิดเป็นโซเดียม 2,000 มิลลิกรัมเท่านั้น ลองมาวัดปริมาณโซเดียมที่เรากินอาหารแต่ละอย่างมีมากน้อยแค่ไหน และจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอย่างไรด้วยตนเอง กับสื่อเรียนรู้ - อาหารซ่อนเค็ม

‪#‎ฉลาดรู้‬ ‪#‎ฉลาดคิด‬ ‪#‎ฉลาดเลือก‬ ... ‪#‎KuuNe‬ ‪#‎คูเน่‬ ‪#‎นวัตกรรมผงปรุงครบรสเพื่อสุขภาพ‬ ‪#‎โซเดียมต่ำ‬
‪#‎ไม่มีเนื้อสัตว์‬ ‪#‎ผงชูรส‬ ‪#‎สารเคมีปรุงแต่งกลิ่นสีรส‬ ‪#‎ปลอดสารเคมี‬ ‪#‎ธรรมชาติ‬100% ‪#‎2in1‬ ‪#‎ใช้ปรุงอาหาร‬ ต้ม ผัด แกง ทอด หมัก และ ยำ หรือ ‪#‎ใช้ชงดื่มบำรุงสุขภาพ‬ ‪#‎ใส่บาตรถวายพระใช้เป็นเครื่องดื่มระหว่างวัน‬ ‪#‎หอมชงปานะ‬ จากผลงานวิจัยดีเด่น ม.เกษตร ได้รับ ‪#‎รางวัลชนะเลิศ‬


 


Wednesday, January 7, 2015

ฐานคิดของจริยธรรมและการวิจัยในโลกสมัยใหม่ Ethical Thinking in Modern Researches

ฐานคิดของจริยธรรมและการวิจัยในโลกสมัยใหม่Ethical Thinking in Modern Researchesอรศรี งามวิทยาพงศ์


หัวข้อหลักสำหรับบทความชิ้นนี้ประกอบด้วยบทนำ ๑. ฐานคิดทางจริยธรรม ๒.จริยธรรมในทัศนะใหม่ ๓. เกณฑ์วินิจฉัยจริยธรรมกับการวิจัย ๔. ความสัมพันธ์เชิงพัฒนาของจริยธรรมและการวิจัย บรรณานุกรม

บทนำ 

หากเราสำรวจและสังเกตบทความต่าง ๆ ที่นำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับจริยธรรมในการวิจัยนั้น เรื่องของ"สิทธิ, ความซื่อสัตย์ , ความรับผิดชอบ" มักถือเป็นกรอบหรือเกณฑ์หลักของการวินิจฉัยระดับจริยธรรมในการวิจัยทั้งก่อน - ระหว่าง - หลังการวิจัย โดยครอบคลุมทั้งผู้วิจัย ผู้ถูกวิจัย ผู้ใช้งานวิจัย ผู้ให้ทุนวิจัย ฯลฯ แม้กรอบหรือเกณฑ์วินิจฉัยจะอยู่ใน ๓ ประเด็นดังกล่าวเป็นส่วนใหญ่ แต่กระนั้นก็ยังหาข้อสรุปเดียวกันได้ยาก จึงยังมีประเด็นโต้แย้งอย่างหลากหลายในเรื่องจริยธรรมและการวิจัยอยู่อย่างต่อเนื่อง ว่าอะไรผิดหรือไม่ผิดจริยธรรม ซึ่งในความเห็นของผู้เขียนคิดว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดทัศนะที่แตกต่างกันนั้นน่าจะมาจาก :๑. ความแตกต่างในฐานคิดของ"จริยธรรม" ทำให้เกิดมุมมองทางจริยธรรมที่แตกต่างกัน ตามคำนิยามและคุณค่าที่กำหนดในจริยธรรมนั้น ๆ เหมือนดังบทความของ Donna L. Deyhle , G. Alfred Hess, Jr. และ Magaret D.LeCompte ชื่อ Approach Ethical Issues for Qualitative Researchers in Education ที่เสนอทฤษฎีจริยธรรม ๕ แบบ (ของ William S. May) เพื่อเป็นกรอบหรือฐานคิดแบบหลวม ๆ เพื่อตอบคำถามว่า "อะไรคือจริยธรรมในการวิจัย ( What is ethical Research ? ) โดยที่แต่ละแบบก็จะมีมุมมองจริยธรรมแตกต่างกันเช่นเดียวกับทัศนะที่มีต่อการวิจัย ดังนั้นหากรวมฐานคิดของจริยธรรม และการให้ความหมาย"การวิจัย"ในทัศนะอื่น ๆ เข้าไปอีก ความหลากหลายในประเด็นจริยธรรมกับการวิจัยก็คงจะมีมากยิ่งขึ้นไปอีก


๒. ข้อเท็จจริงที่ว่าการวิจัยมิได้เกิดขึ้นท่ามกลางสูญญากาศ หากเกิดขึ้นและปฏิบัติการท่ามกลางความเชื่อ ค่านิยม ระบบอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของมนุษย์และสังคมนั้น ๆ สภาพการณ์นี้ทำให้เรามักพบเสมอว่า มาตรฐานจริยธรรมในการวิจัยกำหนดได้ยาก ไม่เป็นสากล และเป็นสาเหตุทำให้เกิดจริยธรรมที่มีมาตรฐาน ๒ ระดับ ( double standard ) ที่แตกต่างกันต่อเรื่องเดียวกัน เช่นมาตรฐานทางจริยธรรมเมื่อทำวิจัยในประเทศพัฒนา จะแตกต่างจากในประเทศด้อยพัฒนา ทั้ง ๆ ที่เป็นนักวิจัยหรือการวิจัยในเรื่องเดียวกัน คือในสังคมซึ่งรู้จักสิทธิ และสนใจสิทธิของตนเอง นักวิจัยอาจจำเป็นจะต้องจำกัดสิทธิของตนเองด้วยการยืดถือจริยธรรมเป็นกรอบ แต่ในสังคมซึ่งยังขาดสิทธิ หรือไม่รู้จักสิทธิของตนเอง นักวิจัยก็มีโอกาสที่จะใช้สิทธิในการวิจัยตามความต้องการของตนเองได้มาก ในลักษณะนี้ จริยธรรมเกิดขึ้นจากการควบคุมของภายนอก ซึ่งผู้วิจัยหรือให้ทุนวิจัยที่ขาดจิตสำนึกจากภายใน ก็อาจจะหาวิธีและโอกาสหลีกเลี่ยงหรือสร้างข้ออ้างที่ชอบธรรมขึ้นมา เมื่องานของตนเองถูกวิจารณ์ในแง่จริยธรรมการวิจัยแบบนี้จึงมิได้ช่วยพัฒนารากฐานแห่งความคิดทางจริยธรรมของนักวิจัย และทำให้เรื่องของจริยธรรมกลายเป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงตามสภาพภายนอก มิใช่เรื่องในวิถีชีวิตปกติ เหมือนดังที่บทความของ Donna L. Deyhle และคณะเสนอไว้ในบทสรุปว่า จริยธรรมมิใช่ประเด็นที่จะพูดถึงเมื่อนักวิจัยจะลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลหรือเมื่อจะทำวิจัยเท่านั้น หากจริยธรรมเป็นเรื่องของวิถีชีวิตหรือการประพฤติปฏิบัติในทุกขณะของชีวิตบุคคลสาระที่ผู้เขียนสนใจ และพยายามที่จะคิดแล้วนำเสนอให้สืบเนื่องจากประเด็นที่กล่าวมาข้างต้น คือ๑.ฐานคิดทางจริยธรรมตามทัศนะของผู้เขียน และฐานคิดดังกล่าวนำไปสู่กรอบหรือเกณฑ์การวินิจฉัยประเด็นจริยธรรมในการวิจัยอย่างไร๒. หากเราต้องการให้จริยธรรมในการวิจัยเป็นเรื่องของวิถีชีวิต มิใช่เป็นเรื่องที่จะคิดถึงเฉพาะเวลาจะลงเก็บข้อมูล หรือคิดจะทำวิจัยเท่านั้น ฐานคิดของการวิจัยและจริยธรรมจะต้องเป็นอย่างไร เชื่อมโยงกันอย่างไร๑. ฐานคิดทางจริยธรรม
ในทัศนะของผู้เขียน เห็นว่าจริยธรรมจะเป็นวิถีชีวิตและมาจากจิตวิญญาณภายในได้นั้นจะต้องมีฐานคิดที่เชื่อมโยงเข้ากับสิ่งสูงสุดในธรรมชาติ ซึ่งในทางพุทธศาสนาคือกฎแห่งธรรมชาติ(หรือในศาสนาอื่นคือพระเจ้า) ในหลักการของพุทธศาสนานั้น จริยธรรมคือวิถีการประพฤติปฏิบัติของบุคคลเพื่อสัมพันธ์กับสิ่งภายนอก แล้วความสัมพันธ์นั้นก็กลับมาพัฒนาบุคคลเองด้วย จริยธรรมแบ่งเป็น ๒ ระดับ คือ
ในทัศนะของผู้เขียน เห็นว่าจริยธรรมจะเป็นวิถีชีวิตและมาจากจิตวิญญาณภายในได้นั้นจะต้องมีฐานคิดที่เชื่อมโยงเข้ากับสิ่งสูงสุดในธรรมชาติ ซึ่งในทางพุทธศาสนาคือกฎแห่งธรรมชาติ(หรือในศาสนาอื่นคือพระเจ้า) ในหลักการของพุทธศาสนานั้น จริยธรรมคือวิถีการประพฤติปฏิบัติของบุคคลเพื่อสัมพันธ์กับสิ่งภายนอก แล้วความสัมพันธ์นั้นก็กลับมาพัฒนาบุคคลเองด้วย จริยธรรมแบ่งเป็น ๒ ระดับ คือในทัศนะของผู้เขียน เห็นว่าจริยธรรมจะเป็นวิถีชีวิตและมาจากจิตวิญญาณภายในได้นั้นจะต้องมีฐานคิดที่เชื่อมโยงเข้ากับสิ่งสูงสุดในธรรมชาติ ซึ่งในทางพุทธศาสนาคือกฎแห่งธรรมชาติ(หรือในศาสนาอื่นคือพระเจ้า) ในหลักการของพุทธศาสนานั้น จริยธรรมคือวิถีการประพฤติปฏิบัติของบุคคลเพื่อสัมพันธ์กับสิ่งภายนอก แล้วความสัมพันธ์นั้นก็กลับมาพัฒนาบุคคลเองด้วย จริยธรรมแบ่งเป็น ๒ ระดับ คือในทัศนะของผู้เขียน เห็นว่าจริยธรรมจะเป็นวิถีชีวิตและมาจากจิตวิญญาณภายในได้นั้นจะต้องมีฐานคิดที่เชื่อมโยงเข้ากับสิ่งสูงสุดในธรรมชาติ ซึ่งในทางพุทธศาสนาคือกฎแห่งธรรมชาติ(หรือในศาสนาอื่นคือพระเจ้า) ในหลักการของพุทธศาสนานั้น จริยธรรมคือวิถีการประพฤติปฏิบัติของบุคคลเพื่อสัมพันธ์กับสิ่งภายนอก แล้วความสัมพันธ์นั้นก็กลับมาพัฒนาบุคคลเองด้วย จริยธรรมแบ่งเป็น ๒ ระดับ คือ๑.๑ จริยธรรมในระดับสมมุติสัจจะ เป็นจริยธรรมระดับของคุณธรรมหรือศีลธรรมซึ่งกำหนดขึ้นจากระบบความเชื่อหรือคุณค่าของสังคมนั้น ๆ เพื่อการอยู่ร่วมกัน ซึ่งแต่ละสังคมอาจแตกต่างกันไปได้ ตามเงื่อนไขสภาวะแวดล้อมและสภาพสังคมแต่ละยุคแต่ละถิ่น เช่น การเอื้อเฟื้อให้ที่นั่งแก่เด็ก เป็นความดีในสังคมไทย แต่ในสังคมซึ่งมีความเชื่อว่า มนุษย์พึงได้รับการฝึกให้ช่วยตนเองให้มากที่สุด เช่น สังคมญี่ปุ่น การลุกให้เด็กนั่ง ไม่ถือเป็นความดี เพราะในสังคมอุตสาหกรรมการช่วยตนเองได้เป็นคุณธรรมอย่างหนึ่ง จริยธรรมระดับนี้ จึงถูกกำหนดโดยมนุษย์ และอาจเปลี่ยนแปลงตามค่านิยม ยุคสมัย ( ทุนนิยมมีจริยธรรมแบบหนึ่ง สังคมนิยมอีกแบบหนึ่ง) จริยธรรมในระดับนี้ จะสร้างความสงบสุขในสังคมได้เพียงใด ขึ้นกับว่าจริยธรรมนั้น อิงอยู่บนฐานของจริยธรรมระดับปรมัตถ์สัจจะ (ความจริงสูงสุดตามธรรมชาติ) หรือระดับที่ ๒ มากเพียงใด๑.๒ จริยธรรมระดับปรมัตถ์สัจจะ คือจริยธรรมที่ตั้งอยู่บนสัจจะสูงสุดหรือกฎความจริงของโลก ไม่เปลี่ยนแปลงตามเวลา สถานที่ บุคคล สังคม ฯลฯ เป็นจริยธรรมที่ไม่ได้กำหนดโดยมนุษย์ หากแต่เป็นกฎเกณฑ์ของธรรมชาติที่อยู่เหนือสรรพชีวิตและสรรพสิ่งในโลก กำหนดให้มนุษย์ต้องทำตาม เพื่อให้เกิดสมดุลและปกติภาวะในการดำรงอยู่ของโลก กฎเกณฑ์ธรรมชาติหรือปรมัตถ์สัจจะดังกล่าวคือ สรรพสิ่งเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันเป็นองค์รวม ในเชิงพึ่งพาอาศัย ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเสมอ ความสัมพันธ์นี้เชื่อมโยงอยู่ในลักษณะเป็นเหตุปัจจัยของกันและกัน สิ่งนี้เป็นเหตุให้เกิดสิ่งนี้ ต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่ ( ความรู้ในเรื่องนิเวศวิทยา ช่วยยืนยันสภาวะความสัมพันธ์ดังกล่าวได้เป็นอย่างดี ) มนุษย์ในฐานะปัจจัยย่อยหนึ่งของระบบธรรมชาติย่อมต้องขึ้นกับกฎธรรมชาตินี้ด้วย ในทัศนะของพุทธศาสนา มนุษย์มิได้เป็นศูนย์กลางของธรรมชาติ(โลก) ที่สามารถอยู่อย่างเอกเทศ มีอำนาจในการควบคุมธรรมชาติเหมือนความคิดความเชื่อของปรัชญาตะวันตก ซึ่งเป็นฐานคิดของวิทยาศาสตร์แบบวัตถุหรือปริมาณดังนั้น การจัดระบบความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่ปราศจากความยุติธรรม มีการเอารัดเอาเปรียบ เอาแต่ได้ฝ่ายเดียว จึงเป็นสภาวะที่ขัดกับกฎธรรมชาติ สังคมนั้นไม่สามารถจะมีสันติภาพ (สันติภาวะ) คือสมดุลหรือดุลยภาพได้ เช่นเดียวกับการที่มนุษย์สัมพันธ์กับระบบนิเวศอย่างไม่สมดุล คือใช้ความรู้ในวิทยาศาสตร์ สร้างเทคโนโลยีเพื่อเอาชนะข้อกำหนดของธรรมชาติ เพื่อสนองความต้องการหรือความพอใจ(ซึ่งไม่ที่ที่สิ้นสุด)ของมนุษย์ พฤติกรรมนี้จะทำลายความสัมพันธ์ในระบบนิเวศที่ซับซ้อนเกินความหยั่งรู้ของมนุษย์ ผลกระทบที่เกิดขึ้นคือ การทำลายล้างดังกล่าว จะย้อนกลับมาลงโทษมนุษย์ด้วยอย่างรุนแรงและหลีกหนีไม่พ้น ตามกฎแห่งการกระทำ(กรรม ) เช่น ความแปรปรวนของภูมิอากาศ การลดลงของชั้นโอโซน อันเป็นสาเหตุของมะเร็งผิวหนัง การระบาดของโรคพืช สัตว์ มนุษย์ อันเนื่องมาจากกลไกการควบคุมกันเองของแบคทีเรีย ไวรัส ฯลฯ ถูกทำลายลงจากความแปรปรวนในระบบนิเวศ ที่สืบเนื่องมาจากกิจกรรมของมนุษย์ รวมทั้งความแปรปรวนในพฤติกรรมและจิตใจของมนุษย์เองด้วยผู้เขียนเชื่อว่า จริยธรรมระดับที่ ๒ มิใช่ข้อกำหนดที่ให้เลือกว่าจะเอาหรือไม่เอา จะทำตามหรือไม่ทำตาม คือไม่ว่าจะชอบหรือไม่อย่างไร ก็จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้แล้วทำตามกฎธรรมชาตินี้ หากมนุษย์ต้องการที่จะดำรงเผ่าพันธุ์และมีสังคมที่สงบสุข เพราะจริยธรรมนี้อยู่เหนือการกำหนดและการต่อรองของมนุษย์๒.จริยธรรมในทัศนะใหม่ จากฐานคิดทางจริยธรรมดังกล่าว ผู้เขียนมีความเห็นหรือมุมมองในเรื่องของจริยธรรมและการวิจัยดังนี้๒.๑ จริยธรรมมิใช่เป็นเพียงเรื่องของความดีความเลว(สมมุติสัจจะ) แต่เป็นเรื่องของความจริงด้วย บรรทัดฐานของจริยธรรมในสังคม จะต้องตั้งอยู่บนกฎเกณฑ์ของธรรมชาติหรือโลก จึงจะทำให้สังคมสงบสุขอย่างยั่งยืนได้ การประพฤติปฏิบัติตามจริยธรรม จึงเป็นเรื่องกระบวนการเรียนรู้ในวิถีชีวิตบุคคล เพื่อเข้าสู่สภาวะธรรมชาติ เกิดความหยั่งรู้ถึงกฎเกณฑ์ของโลกมากขึ้น และปฏิบัติตามได้อย่างสอดคล้องกลมกลืนทั้งระดับบุคคลและสังคม๒.๒ จริยธรรมเป็นเรื่องของระบบความสัมพันธ์ที่อิงกับกฎความจริงของธรรมชาติ การจัดความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์จึงต้องเป็นไปอย่างอิงอาศัยกัน เป็นผู้ให้และผู้รับ ปราศจากการเอารัดเอาเปรียบ ดังนั้น สังคมซึ่งคนหมู่มากไม่ได้รับความเป็นธรรม มีความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่เหลื่อมล้ำแตกต่างมาก มีฝ่ายหนึ่งใช้อำนาจกระทำต่ออีกฝ่ายหนึ่งอยู่ตลอดเวลา จึงขัดกับกฎธรรมชาติ ถือเป็นพฤติกรรมที่ขาดจริยธรรมในระดับปรมัตถ์สัจจะ ในขณะเดียวกันความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสรรพชีวิตอื่นในธรรมชาติก็ต้องอยู่ในลักษณะเดียวกันนี้ด้วย คือไม่มุ่งเอาประโยชน์ของมนุษย์เป็นตัวตั้งฝ่ายเดียว ( เช่น การทำเกษตรกรรมเคมีในระบบปัจจุบัน )๒.๓ ผลกระทบจากความเสื่อมถอยของศาสนา ทั้งสถาบันและคำสอน มีผลให้ความหมายของจริยธรรมในระดับปรมัตถ์สัจจะเลือนหายไป และถูกทำให้คลาดเคลื่อนไปตามกระแสความเปลี่ยนแปลงที่เข้ามากระทบ โดยเฉพาะของระบบทุนนิยมและอำนาจนิยม ทำให้จริยธรรมระดับแรกไร้รากหรือขาดฐานคิดของปรมัตถ์สัจจะ จึงล้าสมัย มีคุณค่าน้อยในทัศนะของคนสมัยใหม่ เพราะอาจเป็นจริยธรรมในยุคสมัยเดิมซึ่งสังคมยังไม่ซับซ้อน(สังคมเกษตรกรรม) ปัญหาไม่หนักหน่วงรุนแรงเช่นปัจจุบัน ที่สังคมมีขนาดใหญ่มีลักษณะโลกาภิวัตน์ เมื่อนำจริยธรรมที่เป็นปัญหาดังกล่าวมาเชื่อมโยงกับการวิจัย จึงทำให้เกณฑ์การวินิจฉัยเกิดความคลุมเครือ ไม่ก่อให้เกิดการพัฒนาทั้งงานวิจัยและนักวิจัย๒.๔ หากพิจารณาจริยธรรมในความหมายระดับที่ ๒ คือมุ่งการสร้างสังคมที่มีสภาวะสอดคล้องกับกฎธรรมชาติ ( พึ่งพาอาศัย มีสมดุล สันติภาพ ) กรอบจริยธรรมจะต้องได้รับการขยายความใหม่ ให้ครอบคลุมสังคมที่มีพฤติกรรมและระบบความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนอย่างเช่นปัจจุบันได้ ตัวอย่างเช่น- รูปแบบการพัฒนาที่นำไปสู่การทำลายล้างทรัพยากรธรรมชาติ สรรพชีวิตอื่น ระบบนิเวศ เพื่อสนองความต้องการของมนุษย์ถือว่าผิดจริยธรรม- การที่คนส่วนมากตกอยู่ในสภาพถูกเอารัดเอาเปรียบ มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างอดอยากขาดแคลน คับแค้น เป็นสังคมซึ่งขาดจริยธรรม- การที่คนเมืองใช้ทรัพยากรอย่างฟุ่มเฟือย ด้วยการแย่งชิงจากชนบท ( แม้จะถูกกฎหมาย) ถือว่าผิดจริยธรรม เช่น การใช้น้ำ ไฟฟ้าอย่างฟุ่มเฟือยเพื่อบำรุงความสุข ความสะดวกสบาย เนื่องจากทำให้เกิดการทำลายทรัพยากรธรรมชาติมากขึ้น ระบบนิเวศถูกกระทบมากขึ้น เพราะการสร้างเขื่อนเพื่อผลิตไฟฟ้า ทำให้ต้นไม้ - สัตว์ป่าจำนวนมหาศาลถูกรบกวนและทำลายล้าง ชุมชนถูกไล่ที่ และการผลิตไฟฟ้าโดยใช้ถ่านหินก่อให้เกิดมลพิษในอากาศ ฯลฯ- การสร้างมลภาวะ มลพิษแก่สิ่งแวดล้อม ไม่ว่าบนบก น้ำ อากาศ เป็นการประทำที่ผิดจริยธรรม เพราะทำลายสุขภาพของผู้อื่น ( ทั้งมนุษย์ สัตว์ พืช ) และทำลายระบบนิเวศ ก่อผลกระทบต่อห่วงโซ่อาหาร วงจรชีวิตของสิ่งมีชีวิตอื่น- การกระทำหลายอย่างแม้จะไม่ผิดกฎหมาย แต่ก็ผิดจริยธรรมได้ กฎหมายไม่เป็นบรรทัดฐานของจริยธรรม เนื่องจากกฎหมายกำหนดขึ้นตามอำนาจและทัศนคติของผู้บัญญัติ หรือตามความต้องการของมนุษย์ฝ่ายเดียว โดยมิได้คำนึงถึงการอยู่อาศัยร่วมกับสรรพชีวิตอื่น เช่น กฎหมายเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ- พฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ของคนในสังคม ก็มีความเกี่ยวโยงทางจริยธรรมด้วย เช่น การสวมหมวกกันกระแทก การคาดเข็มขัดนิรภัย การขับรถโดยไม่ประมาท ฯลฯ เพราะการป้องกันหรือหาทางลดความรุนแรงจากอุบัติที่ป้องกันได้ ช่วยให้ทรัพยากรทางการแพทย์ (งบประมาณสาธารณสุข บุคลากร เวลา สถานที่ ) ได้รับการสงวนไว้สำหรับความเจ็บป่วยที่หลีกเลี่ยงได้ยาก โดยเฉพาะแก่คนยากจน แม้แต่การไม่ทิ้งขยะลงบนถนน ก็เป็นประเด็นทางจริยธรรม เพราะช่วยให้คนกวาดถนนไม่ต้องทำงานหนัก เสียสุขภาพ มีเวลาอยู่กับครอบครัวของตนเองมากขึ้น ฯลฯ


๓. เกณฑ์วินิจฉัยจริยธรรมกับการวิจัย จริยธรรมในความหมายที่กล่าวมา เมื่อนำมาวินิจฉัยในบริบทของการวิจัย ว่าการวิจัยอะไร ,อย่างไร ผิดจริยธรรมหรือไม่ จึงมีนัยกว้างกว่าการตีความออกมาเป็นข้อกำหนดหรือจรรยาบรรณ ผิดถูก ผู้เขียนเห็นว่า๓.๑ การวิจัยซึ่งเป็นไปเพื่อส่งเสริม ธำรงรักษาไว้ซึ่งระบบความสัมพันธ์อันไม่ยุติธรรมในสังคมเป็นการวิจัยที่ผิดจริยธรรม คือทำให้คนหมู่มากเสียประโยชน์ หรือถูกเอาเปรียบมากขึ้น หรือทำให้ผู้ด้อยโอกาส เสียโอกาสมากขึ้น เช่น กรณีนักวิจัยไทยรับทุนการวิจัยจากบรรษัทข้ามชาติด้านอาหาร เพื่อค้นหาผลิตภัณฑ์นมสูตรใหม่ที่ช่วยให้เด็กทารกเสียชีวิตจากการท้องเสียน้อยลง(เหตุการณ์นี้เกิดเป็นข่าวในปี 2541 กับเด็กในสถานสงเคราะห์ของรัฐ) ในทัศนะของผู้เขียนเห็นว่า การวิจัยดังกล่าวผิดจริยธรรม เนื่องจาก- เป็นการกดขี่เอาเปรียบเด็กกำพร้าในสถานสงเคราะห์ ซึ่งไม่มีทางเลือกหรือทางปฏิเสธการถูกวิจัย ทั้ง ๆ ที่เด็กเหล่านี้อยู่ในสถานภาพของคนด้อยโอกาสทางสังคมอยู่แล้ว- องค์กรผู้ให้ทุนการวิจัย เป็นองค์กรที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่องยาวนานมาทั้งในสังคมไทยและทั่วโลก ในทางทำลายการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ โดยอาศัยกลยุทธการตลาด การโฆษณา ทั้ง ๆ ที่นมแม่ได้รับการวิจัยยืนยันว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพเด็กมากกว่า เสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกมากกว่า การวิจัยดังกล่าวจึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้ให้ทุนวิจัยมากกว่า แม้ว่าผู้วิจัยจะอ้างว่าผลประโยชน์ที่ได้รับจะช่วยให้เกิดการพัฒนานมสูตรใหม่ที่ช่วยลดการท้องเสียเป็นประโยชน์ส่วนรวมแก่เด็ก เพราะความจริงคือผลการวิจัยจะถูกนำไปใช้ทางธุรกิจของบรรษัทดังกล่าวเช่นที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด กรณีนี้เป็นตัวอย่างของจริยธรรมแบบ ๒ มาตรฐาน (double standard ) ที่ชัดเจนกรณีหนึ่ง เพราะการวิจัยแบบนี้ ไม่สามารถทำได้ในประเทศพัฒนาแล้ว๓.๒ เป้าหมายการวิจัยเป็นตัวบ่งชี้จริยธรรมที่สำคัญประการหนึ่ง จึงเป็นสิ่งที่นักวิจัยจะต้องคิดวิเคราะห์ให้ชัดเจน ว่าตนเองทำวิจัยเพื่ออะไร เพื่อผู้ด้อยโอกาส ไร้อำนาจ ให้มีโอกาส มีศักยภาพ ในระบบความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นหรือแย่ลง ผู้เขียนเห็นด้วยกับการวิจัยตามทฤษฎีแบบที่ ๔ ( Critical Theory and Advocacy ) ว่าการวิจัยควรมีจุดมุ่งหมายเพื่อผู้ไร้อำนาจ ถูกทอดทิ้ง และเห็นว่าควรขยายขอบเขตไปตามฐานคิดทางจริยธรรมว่า แม้สัตว์ พืช ก็ไม่ควรถูกนำมาวิจัย เพื่อประโยชน์ของมนุษย์ฝ่ายเดียว เช่น การวิจัยทดลองความปลอดภัยการขับขี่รถยนต์โดยการใช้ลิงเป็นตัวทดลองถือว่าไม่ถูกจริยธรรม คือแทนที่มนุษย์จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใส่ใจต่อความไม่ประมาทให้มากขึ้น กลับหาทางแก้ไขที่ปลายเหตุโดยการทำร้ายชีวิตอื่น โดยเฉพาะการวิจัยเพื่อนำไปสู่การสร้างความรู้เพื่อทำผิดจริยธรรม(กฎธรรมชาติ)มากขึ้น เช่นการโคลนนิ่ง ( Cloning ) , การวิจัยเพาะพันธุ์กบไม่มีหัว เพื่อแสวงหาทางสร้างอะไหล่มนุษย์ เป็นต้นอย่างไรก็ตาม ผู้เขียนมิได้ต่อต้านหรือเห็นว่าการวิจัยของธุรกิจผิดไปเสียทั้งหมด ทั้งนี้ขึ้นกับฐานของเป้าหมายว่า เพื่อตอบสนองทางธุรกิจเป็นหลักล้วน ๆ แต่เพียงฝ่ายเดียว โดยไม่สนใจส่วนอื่นใดเลย และเป็นไปเพิ่มอำนาจให้แก่ผู้มีอำนาจมากอยู่แล้วหรือไม่ และเป็นไปเพื่อจะฝืนกฎเกณฑ์ธรรมชาติ หรือเพื่ออนุรักษ์ระบบนิเวศให้ยั่งยืน ดังนั้นการปลอมตัวของนักวิจัยเพื่อเข้าไปในประเทศอัฟริกาใต้ ในยุคที่ยังแบ่งแยกสีผิวนั้น ผู้เขียนเห็นว่าแม้จะผิดจากความจริง (ปลอมตัว) แต่กระทำไปเพื่อประโยชน์ของคนอื่นมากกว่าผู้ทำวิจัย คือปรารถนาที่จะวิจัยสภาพการกดขี่ทารุณในประเทศนั้น เพื่อนำไปสู่การให้ความช่วยเหลือ เพิ่มอำนาจให้แก่ผู้ไร้อำนาจ เช่นเดียวกับการปลอมตัวเพื่อตรวจสอบระบบบริการผู้ป่วยระยะสุดท้ายของโรงพยาบาล ในประเทศอังกฤษ เพื่อช่วยให้ผู้ขาดโอกาสได้รับบริการที่ดีขึ้น ในขณะเดียวกันก็เป็นการทำให้พนักงานในที่ทำงานแห่งนั้นจะต้องพัฒนาปรับปรุงตนเองให้ทำงานด้วยความรับผิดชอบมากขึ้น เป็นคนที่มีคุณภาพมากขึ้น จึงไม่ได้เสียประโยชน์อะไร ( ถ้าผู้วิจัยยืนยันว่าผลการวิจัยจะไม่นำไปสู่การลงโทษ แต่นำไปสู่การพัฒนาบุคลากร )อย่างไรก็ตาม การปลอมตัว การพูดเท็จ หรือการกระทำอื่นใดซึ่งไม่ตรงกับความจริงต้องถือว่าผิดไปจากความจริงตามธรรมชาติ แต่ความผิดจะหนักหรือเบาเพียงใดขึ้นกับเจตนาเป็นตัวตัดสินด้วย แต่นักวิจัยจะต้องตระหนักอยู่เสมอว่า เจตนามิใช่สิ่งที่จะเปลี่ยนสิ่งที่ผิดจากความจริงให้เป็นถูกได้ ความถูกผิดในระดับปรมัตถ์มิได้กำหนดโดยคน ค่านิยม หรือตามตัวอักษร หากถือหลักตามความจริงของธรรมชาติ เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ฉะนั้น ความเท็จจึงเป็นสิ่งที่พึงหลีกเลี่ยงและใช้เมื่อเป็นหนทางสุดท้าย เพื่อประโยชน์ของคนอื่นที่ด้อยโอกาสหรือทุกข์ยากเท่านั้น และจะต้องตระหนักถึงการแสวงหาแนวทางที่ดีกว่าในครั้งต่อไปเสมอ


๔. ความสัมพันธ์เชิงพัฒนาของจริยธรรมและการวิจัย 5
ผู้เขียนเห็นว่า จริยธรรมและการวิจัย ควรมีเป้าหมายเดียวกัน คือเพื่อพัฒนามนุษย์และสังคม ให้ดำรงอยู่อย่างสอดคล้องกับธรรมชาติ ทั้ง ๒ เรื่องจึงมีความสัมพันธ์ในเชิงพัฒนากันและกัน คือจริยธรรมระดับที่ ๒ จะช่วยพัฒนาเป้าหมายของการวิจัย ให้เข้าสู่การสร้างจริยธรรมตามปรมัตถ์สัจจะมากขึ้น เกิดสังคมที่มีสมดุลและสันติภาพมากขึ้น ในขณะเดียวกันการวิจัยก็จะเป็นเครื่องมือหรือวิธีการสร้างจริยธรรมในบุคคลและสังคมด้วย ซึ่งในประเด็นหลังนี้จะเกิดขึ้นได้ เมื่อเราขยายความหมายของการวิจัยออกไปจากเดิม คือการวิจัยตามความหมายในพุทธศาสนานั้น มิใช่เป็นกิจกรรมหรือภารกิจของนักวิจัยอาชีพ หากการวิจัยมีความหมายเท่ากับ"ปัญญา" การวิจัยจึงเป็นกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาตนเองของคนทุกคน เพื่อเข้าสู่ปรมัตถ์สัจจะ สามารถจัดชีวิตและสังคมของตนเองให้สอดคล้องกับกฎธรรมชาติได้
ผู้เขียนเห็นว่า จริยธรรมและการวิจัย ควรมีเป้าหมายเดียวกัน คือเพื่อพัฒนามนุษย์และสังคม ให้ดำรงอยู่อย่างสอดคล้องกับธรรมชาติ ทั้ง ๒ เรื่องจึงมีความสัมพันธ์ในเชิงพัฒนากันและกัน คือจริยธรรมระดับที่ ๒ จะช่วยพัฒนาเป้าหมายของการวิจัย ให้เข้าสู่การสร้างจริยธรรมตามปรมัตถ์สัจจะมากขึ้น เกิดสังคมที่มีสมดุลและสันติภาพมากขึ้น ในขณะเดียวกันการวิจัยก็จะเป็นเครื่องมือหรือวิธีการสร้างจริยธรรมในบุคคลและสังคมด้วย ซึ่งในประเด็นหลังนี้จะเกิดขึ้นได้ เมื่อเราขยายความหมายของการวิจัยออกไปจากเดิม คือการวิจัยตามความหมายในพุทธศาสนานั้น มิใช่เป็นกิจกรรมหรือภารกิจของนักวิจัยอาชีพ หากการวิจัยมีความหมายเท่ากับ"ปัญญา" การวิจัยจึงเป็นกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาตนเองของคนทุกคน เพื่อเข้าสู่ปรมัตถ์สัจจะ สามารถจัดชีวิตและสังคมของตนเองให้สอดคล้องกับกฎธรรมชาติได้ผู้เขียนเห็นว่า จริยธรรมและการวิจัย ควรมีเป้าหมายเดียวกัน คือเพื่อพัฒนามนุษย์และสังคม ให้ดำรงอยู่อย่างสอดคล้องกับธรรมชาติ ทั้ง ๒ เรื่องจึงมีความสัมพันธ์ในเชิงพัฒนากันและกัน คือจริยธรรมระดับที่ ๒ จะช่วยพัฒนาเป้าหมายของการวิจัย ให้เข้าสู่การสร้างจริยธรรมตามปรมัตถ์สัจจะมากขึ้น เกิดสังคมที่มีสมดุลและสันติภาพมากขึ้น ในขณะเดียวกันการวิจัยก็จะเป็นเครื่องมือหรือวิธีการสร้างจริยธรรมในบุคคลและสังคมด้วย ซึ่งในประเด็นหลังนี้จะเกิดขึ้นได้ เมื่อเราขยายความหมายของการวิจัยออกไปจากเดิม คือการวิจัยตามความหมายในพุทธศาสนานั้น มิใช่เป็นกิจกรรมหรือภารกิจของนักวิจัยอาชีพ หากการวิจัยมีความหมายเท่ากับ"ปัญญา" การวิจัยจึงเป็นกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาตนเองของคนทุกคน เพื่อเข้าสู่ปรมัตถ์สัจจะ สามารถจัดชีวิตและสังคมของตนเองให้สอดคล้องกับกฎธรรมชาติได้ผู้เขียนเห็นว่า จริยธรรมและการวิจัย ควรมีเป้าหมายเดียวกัน คือเพื่อพัฒนามนุษย์และสังคม ให้ดำรงอยู่อย่างสอดคล้องกับธรรมชาติ ทั้ง ๒ เรื่องจึงมีความสัมพันธ์ในเชิงพัฒนากันและกัน คือจริยธรรมระดับที่ ๒ จะช่วยพัฒนาเป้าหมายของการวิจัย ให้เข้าสู่การสร้างจริยธรรมตามปรมัตถ์สัจจะมากขึ้น เกิดสังคมที่มีสมดุลและสันติภาพมากขึ้น ในขณะเดียวกันการวิจัยก็จะเป็นเครื่องมือหรือวิธีการสร้างจริยธรรมในบุคคลและสังคมด้วย ซึ่งในประเด็นหลังนี้จะเกิดขึ้นได้ เมื่อเราขยายความหมายของการวิจัยออกไปจากเดิม คือการวิจัยตามความหมายในพุทธศาสนานั้น มิใช่เป็นกิจกรรมหรือภารกิจของนักวิจัยอาชีพ หากการวิจัยมีความหมายเท่ากับ"ปัญญา" การวิจัยจึงเป็นกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาตนเองของคนทุกคน เพื่อเข้าสู่ปรมัตถ์สัจจะ สามารถจัดชีวิตและสังคมของตนเองให้สอดคล้องกับกฎธรรมชาติได้การวิจัยตามนัยนี้ จึงหมายความว่า คนทุกคนควรได้รับการส่งเสริมให้เป็นนักวิจัย เช่นในการศึกษาทุกระดับ ตั้งแต่ประถมศึกษา มัธยมศึกษา จนกระทั่งถึงมหาวิทยาลัย ผู้เรียนควรได้วิจัยชีวิตตนเองและสิ่งรอบตัว รู้จักการตั้งคำถามและวิธีการหาคำตอบ คนทุกระดับโดยเฉพาะคนด้อยโอกาสควรมีโอกาสได้วิจัยชีวิตและปัญหาของตนเอง ให้เกิดปัญญาเพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาของตนเองหากทำได้ดังนี้ ทั้งการวิจัยและจริยธรรมก็จะเป็นวิถีชีวิตของคนทั้งหมดในสังคม มิใช่ของนักวิจัย ผู้ให้ทุนวิจัย หรือผู้บริโภคงานวิจัยเท่านั้น และจะเป็นกระบวนการเสริมสร้างพลังให้แก่ผู้ด้อยโอกาสด้วย ที่สำคัญที่สุดคือ จะนำไปสู่ชีวิตและสังคมที่ตั้งอยู่บนความดี ความงาม และความจริงของโลกด้วย.


บรรณานุกรม
Deyhle , Donna L. , Hess , G. Alfred , LeCompte , Magaret D. "Approach Ethical Issues for Qualitative Researchers in Education". in The Handbook of Qualitative Research in Education. ( San Diego , Academic Press, 1992 )
Patai , Daphne. " U.S. Academics and Third World Women : Is Ethical Research Possible ? in Gluck & Patai . Women' s Words , 1991
Rubin & Bubbies. "The Ethics and Politics of Social Work Research" in Research Methods of Social Work. 1993
Useem , Michael & Marx , Gary t. , "Ethical dilemmas and political considerations" in : Smith, Robert B. , An Introduction to Social Research.
พระธรรมปิฎก. การศึกษากับการวิจัยเพื่ออนาคตของประเทศไทย. ( กรุงเทพฯ : กองทุนวุฒิธรรม, ๒๕๔๑ )
สุลักษณ์ ศิวรักษ์. "จริยธรรมในสังคมไทย ในทัศนะของฝ่ายศาสนา" ใน ศาสนากับสังคมไทย (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์เทียนวรรณ , ๒๕๒๕ 

ที่มา :  http://v1.midnightuniv.org/midnightweb/newpage3.html

#ความจริงอิงกับธรรมชาติ


Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More