www.facebook.com/kuunepage

..... คูเน่ คู่ครัว คู่มื้อสุขภาพ คู่คุณ

คูเน่ นวัตกรรมเครื่องปรุงครบรส จากธรรมชาติเพื่อสุขภาพ

.

Search This Blog

Translate

คุ้มค่าด้วยคุณค่า เติมสุขเสริมสุขภาพ ใช้ปรุงอาหาร หรือชงดื่มเพื่อสุขภาพ หอมชงปานะ

นวัตกรรมเครื่องปรุงครบรสเพื่อสุขภาพ ผลงานวิจัยดีเด่น ม.เกษตรฯ ผลิตจากหอมหัวใหญ่ เข้มข้น 3 เท่า ช่วยป้องกันความเสี่ยงต่อโรคอ้วน ความดัน เบาหวาน หัวใจ สารก่อมะเร็ง ช่วยชะลอความชรา
อีกทั้งช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ (อนุภาคหอมหัวใหญ่จะเกาะตัวกันตามธรรมชาติ โดยปราศจากสารเคมีป้องกันการเกาะตัว)

Sunday, July 24, 2011

ออกบู๊ธงาน KTB SMEs Market Day

จัดงานวันที่ 25 - 29 ก.ค. 54 ที่ธนาคารกรุงไทย สนญ. นานา สุขุมวิท 07.00 - 16.30 น.



โอกาสดีๆ ทางเลือกสุขภาพ คูเน่ ผงปรุงรสเพื่อสุขภาพ ไม่มีเนื้อสัตว์ สารปรุงแต่งกลิ่น สี รส สารเคมี และวัตถุกันเสีย ป้องกันความเสี่ยงจาก โรคอ้วน ความดัน เบาหวาน หัวใจ และสารก่อมะเร็ง ช่วยลดการอักเสบของเซล ช่วยชะลอความแก่

ติดต่อ คุณคมชาญ  086-791 7007

Saturday, July 9, 2011

สุขภาพกาย สุขภาพจิต


ความหมายของสุขภาพกายและสุขภาพจิต
สุขภาพกาย หมายถึง สภาวะของร่างกายที่มีความสมบูรณ์ แข็งแรง เจริญเติบโตอย่างปกติ ระบบต่างๆของร่างกายสามารถทำงานได้เป็นปกติและมีประสิทธิภาพ ร่างกายมีความต้านทานโรคได้ดี ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บและความทุพพลภาพ
สุขภาพจิต หมายถึง สภาวะของจิตใจที่มีความสดชื่น แจ่มใส สามารถควบคุมอารมณ์ให้มั่นคงเป็นปกติ สามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสิ่งแวดล้อมต่างๆได้ดี สามารถเผชิญกับปัญหาต่างๆได้เป็นอย่างดี และปราศจากความขัดแย้งหรือความสับสน ภายในจิตใจ
ความสำคัญของสุขภาพกายและสุขภาพจิต
สุขภาพกายและสุขภาพจิตเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นสำหรับทุกชีวิต การที่จะดำรงชีวิตอยู่อย่างปกติก็คือ การทำให้ร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์ จิตใจมีความสุข ความพอใจ ความสมหวังทั้งตนเองและผู้อื่น ผู้ที่มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี จะปฏิบัติหน้าที่ประจำวันไม่ว่าเป็นการเรียนหรือการทำงานเป็นไปด้วยดี มีประสิทธิภาพการที่เรารู้สึกว่า ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตของเรามีความปกติและสมบูรณ์ดี เราก็จะมีความสุข ในทางตรงข้าม ถ้าสุขภาพกายและสุขภาพจิตของเราผิดปกติหรือไมสมบูรณ์ เราก็จะมีความทุกข์ การรู้จักบำรุงรักษา และส่งเสริมสุขภาพกายและสุขภาพจิตเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิตของทุกคน ในปัจจุบันเป็นที่ยอมรับว่า การรู้จักดูแลสุขภาพกาย และสุขภาพจิตนั้นเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะช่วยให้ชีวิตอยู่ได้ด้วยความสุขสมบูรณ์และมีคุณภาพที่ดี
          ลักษณะของผู้มีภาวะสุขภาพกายที่ดี
          1. สภาพร่างกายมีความสมบูรณ์แข็งแรง 2. อวัยวะต่างๆทั้งภายในและภายนอกร่างกายสามารถทำงานได้ตามปกติ 3. ร่างกาย ไม่ทุพพลภาพ 4. ความเจริญทางด้านร่างกายเป็นไปตามปกติ 5. ร่างกายได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ
                 ลักษณะของผู้มีภาวะสุขภาพจิตที่ดี
          1. มีอารมณ์มั่นคง และสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดี 2. มีความตั้งใจและกระตือรือร้นในการทำงาน ไม่ย่อท้อเหนื่อยหน่ายหรือหมดหวังในชีวิต 3. มีความสดชื่น เบิกบาน แจ่มใส ไม่เครียด ไม่มีความวิตกกังวลใจจนเกินไปมีอารมณ์ขันบ้างตามสมควร 4. มีความรู้สึกต่อผู้อื่นในแง่ดี มองโลกในแง่ดี 5. รู้จักตนเองดีและมีความเข้าใจผู้อื่นดีเสมอ 6. มีความเป็นตัวของตัวเอง และมีความเชื่อมั่นในตนเองอย่างมีเหตุผล 7. สามารถปรับตัวเข้ากับสังคมและสิ่งแวดล้อมได้ดี 8. กล้าเผชิญกับปัญหา และสามารถตัดสินใจแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง 9. มีการแสดงออกอย่างเหมาะสม เมื่อมีความสะเทือนใจ 10. สามารถแสดงความยินดีต่อผู้อื่นอย่างจริงใจเมื่อประสบความสุข ความสมหวัง หรือความสำเร็จ

    สารเคมีในอาหาร



    โภชนาการ หมายถึง อาหารที่เข้าสู่ร่างกายมนุษย์ แล้วร่างกายสามารถนำไปใช้เป็นประโยชน์ในด้านการเจริญเติบโต การค้ำจุน และการซ่อมแซมส่วนต่างๆ ของร่างกาย ดังนั้นการได้กินอาหารที่เพียงพอและถูกสัดส่วน จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่สุดสำหรับมนุษย์ เพื่อให้มีสุขภาพที่แข็งแรง
    คอลัมน์ “กินถูก...ถูก” ได้รับความร่วมมือจากสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ครั้งนี้เสนอเรื่อง สารเคมีในอาหาร โดย ร.ศ.ดร.แก้ว กังสดาลอำไพ
    สารเคมีในอาหาร
    ครั้งที่แล้วได้กล่าวถึงสารเคมีในอาหาร และอันตรายจากพลาสติก สำหรับในครั้งนี้จะได้กล่าวถึงสีผสมอาหาร ยาฆ่าแมลง และอาหารฉายรังสี
    สีผสมอาหาร
    ปัญหาของความปลอดภัยของอาหารเนื่องจากการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารอีกประการที่ได้รับความสนใจมาก คือ เรื่องของสีผสมอาหาร ซึ่งใส่ลงไปโดยจุดประสงค์หลายประการ เช่น ทำให้อาหารชวนบริโภค กลบเกลื่อนร่องรอยของการผลิตที่ไม่ได้คุณภาพ หรือการใช้วัตถุดิบต่ำกว่ามาตรฐาน ปัญหาที่เกิดขึ้นแบ่งเป็นสองกรณี คือ การใช้สีถูกต้องในอาหารต่ำกว่ามาตรฐาน และการใช้สีอันตรายในอาหาร
    ในกรณีแรก เป็นปัญหาการหลอกลวงผู้บริโภค ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาทางโภชนาการ เช่น การใส่สีเหลืองลงในเส้นบะหมี่เพื่อให้มีลักษณะคล้ายบะหมี่ที่ใส่ไข่ การใส่ดินประสิวลงในเนื้อเก่าเพื่อให้ดูคล้ายเนื้อสด
    ส่วนกรณีที่สองที่ส่งผลถึงความปลอดภัยของอาหารโดยตรง คือ การใช้สีผิดประเภท ซึ่งเรามักจะได้ยินบ่อยครั้งว่ามีการใช้สีย้อมผ้าในอาหารพวกลูกอมหรือน้ำหวานราคาถูก หรืออาหารขยะ (junk foods) ต่างๆ สีอันตรายก่อให้เกิดปัญหาได้สองกรณี คือ อันตรายจากตัวสีเอง เช่น สีกลุ่มสารประกอบเอโซ (azo compound) และอันตรายจากสารปนเปื้อนในสี (เช่น โลหะหนัก สารตัวกลางระหว่างการผลิตสี เป็นต้น) อาหารทั่วไปที่มีประกาศควบคุมห้ามใส่สี (แต่มักจะพยายามใส่กัน) ได้แก่ อาหารทารก นมดัดแปลงสำหรับทารก อาหารเสริมสำหรับเด็ก ผลไม้ดอง เนื้อสด เนื้อและผลิตภัณฑ์แห้ง เนื้อสัตว์ปรุงแต่งหรือเค็ม แหนม กุนเชียง ลูกชิ้น ทอดมัน ข้าวเกรียบ และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
    ยาฆ่าแมลง
    ปัญหาสำคัญที่เกี่ยวกับความปลอดภัยของอาหารที่ประชาชนสนใจและทราบดี ก็คือ การตกค้างของสารฆ่าแมลงในอาหาร ในปัจจุบันนี้ นอกจากจะมีการใช้สารฆ่าแมลงตามปกติแล้ว ในบางครั้ง เกษตรกรยังใช้สารพิษนี้ตามความต้องการของผู้บริโภค เช่น การใช้สารฆ่าแมลงปริมาณสูงในผักผลไม้ที่ต้องการให้ปราศจากตำหนิหรือการเก็บผลผลิตที่ฉีดยาฆ่าแมลงก่อนเวลาที่สารพิษจะสลายตัวหมด ดังนั้น จึงไม่น่าประหลาดใจเลยที่มักจะมีรายงานอยู่ตลอดเวลาว่าพบ ปริมาณตกค้างของสารฆ่าแมลงในอาหารไทย ปัญหาที่เกิดขึ้นเนื่องจากสารฆ่าแมลงอีกกรณีหนึ่ง คือ การที่สารฆ่าแมลงถูกฝนชะจากดินไหลลงสู่แหล่งน้ำ
    สัตว์น้ำที่ได้รับสารพิษเข้าสู่ร่างกายจะเกิดความผิดปกติ โดยเฉพาะระบบภูมิต้านทานโรค ทั้งนี้เพราะมีการศึกษาวิจัยพบว่า สารฆ่าแมลงส่วนมากโดยเฉพาะพวกคลอริเนตเต็ดไฮโดรคาร์บอนนั้น มีฤทธิ์ไปกดการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันโรค ข้อมูลนี้อาจนำมาใช้อธิบายเหตุผลว่า ทำไมปลาน้ำจืดในบ่อปลาที่ใช้น้ำจากแม่น้ำลำคลอง จึงมักจะตายเนื่องมาจากโรคแผลตามตัว เพราะการติดเชื้อแบคทีเรียในหน้าหนาว ซึ่งเป็นฤดูที่ภูมิต้านทานของปลาต่ำที่สุด ทั้งๆ ที่ไม่เคยมีปัญหา แต่พอมีปริมาณสารพิษในน้ำสูงขึ้น ผลร้ายจึงแสดงออกมา
    อาหารฉายรังสี
    ในทางตรงข้ามกับปัญหาที่เกิดเนื่องจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ผลดีก็ยังมีมากเช่นกัน ตัวอย่างเช่น การนำเทคโนโลยีทางพลังงานปรมาณูเพื่อสันติมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการฉายรังสีอาหาร กระบวนการนี้ใช้รังสีแกมม่าหรือรังสีเอ็กซ์ หรือรังสีอิเล็กตรอน ในกรณีของการใช้รังสีแกมม่านั้น มีมาประมาณ 30 ปีแล้วเป็นอย่างน้อย แต่เนื่องจากความหวาดกลัวระเบิดปรมาณูจึงมีการต่อต้านขึ้น ทำให้การฉายรังสีอาหารในทางอุตสาหกรรมเกิดขึ้นน้อยมาก
    สิ่งที่กลุ่มผู้ต่อต้านการฉายรังสีอาหารกลัว ก็คือ การตกค้างหรือการเหนี่ยวนำให้เกิดสารรังสีในอาหาร การเกิดสารพิษที่ทำให้เกิดมะเร็งได้ การสูญเสียคุณค่าทางอาหาร เป็นต้น แต่ในปัจจุบันนี้ ปัญหาเหล่านี้ได้ถูกพิสูจน์แล้วว่า เกิดขึ้นได้น้อยมาก ประกอบกับการค้นพบว่า การฆ่าเชื้อในอาหารบางประเภท โดยการรมควันธัญพืชด้วยแก๊สเอ็ททิลีนโบรไมด์ หรือแก๊สเอ็ททิลีนออกไซด์ก่อให้เกิดสารก่อกลายพันธุ์ขึ้นได้ ดังนั้น จึงมีแนวความคิดที่จะนำการฉายรังสีกลับมาใช้ในหลายประเทศ โดยเฉพาะทางยุโรปและอเมริกา ทั้งนี้เพราะผลประโยชน์ที่จะได้นั้นมีมากกว่าผลเสีย คือ
    1. เพิ่มการผลิตผลิตภัณฑ์อาหาร หรือการส่งผลผลิตไปต่างประเทศ
    2. ลดการสูญเสียอาหาร วัตถุดิบ เนื่องจากศัตรู เช่น แมลงต่างๆ
    3. เพิ่มการควบคุมระยะเวลาการเก็บผลผลิตให้ได้นานขึ้น ซึ่งเป็นการลดราคาผลผลิตนอกฤดู เช่น การเก็บหอมหัวใหญ่อาบรังสี
    4. กำจัดแมลงและเชื้อโรคอย่างได้ผล
    ในทวีปเอเชียและแปซิฟิกนั้น ปัจจุบันมีประมาณ 11 ประเทศที่มีการใช้ผลิตภัณฑ์อาหารฉายรังสี ส่วนในประเทศไทยก็มีการผลักดันให้กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศควบคุมการฉายรังสีอาหาร ซึ่งนับว่า จะเป็นการปฏิวัติกระบวนการผลิตอาหารอีกขั้นหนึ่งของประเทศไทยทีเดียว
    สรุป
    จะเห็นว่าเทคโนโลยีทางอาหารนั้น นับว่าจะก้าวหน้าออกไป แต่สิ่งสำคัญ ก็คือ การมีจิตสำนึกของผู้ผลิตที่จะไม่ทำในสิ่งที่ผิดไปจากแบบแผนของการผลิตอาหารที่ดี อีกทั้งผู้บริโภคก็จะต้องได้ข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัยของอาหารที่ถูกต้อง และสามารถนำมาประยุกต์ใช้อย่างได้ผล ซึ่งเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของหน่วยงานราชการ คือ กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่เฉพาะ คือ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
    สำนักงานอาหารและยาจะต้องมีมาตรการที่เข้มแข็ง เห็นผลประโยชน์ของผู้บริโภคเป็นหลัก ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็นับได้ว่ามาตรฐานหรือคุณภาพชีวิตในเรื่องการบริโภคอาหารสำเร็จรูปของคนไทยดีขึ้นกว่าเดิมมากถ้าอยู่ในเมืองหลวง แต่สำหรับในชนบทนั้น ยังนับว่าอยู่ในสภาวะที่ไม่น่าพอใจ เนื่องจากกำลังของข้าราชการที่จะปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบความเอาแต่ได้ของผู้ผลิตอาหารบางรายนั้นยังมีน้อย ควรที่รัฐบาลจะให้ความสำคัญในเรื่องนี้ เพื่อชาติไทยจะได้เป็นนิกส์กันทั้งประเทศในด้านสุขภาพอนามัยของคนไทย

    ข้อมูลสื่อ
    นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่ม : 123

    เกี่ยวกับเรา


    ท่านอดีตนายก อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ  ร่วมเชียร์ บริษัท ปกธนพัฒน์ จำกัด (PTP)

     ผลิตภัณฑ์ Kuu Ne คูเน่ ... นวัตกรรมผงปรุงครบรสหอมหัวใหญ่ เพื่อสุขภาพ 









     

    บริษัท ปกธนพัฒน์ จำกัด
    90/61 หมู่ ถนนสุวินทวงศ์ ลำผักชี หนองจอก กรุงเทพฯ 10530
    โทรศัพท์ : 02-956 6118
    โทรสาร: 0 2956 6117
    มือถือ : 086 791 7007 (คุณคมชาญ)
    อีเมลล์ : komcharne@gmail.com
    เวปไซต์ : www.ptpfoods.com , http://www.facebook.com/kuunepage 





    video



    Wednesday, June 15, 2011

    ดื่มชา (ไม่)ดีต่อสุขภาพอย่างไร ?



    เครื่องดื่มยอดฮิตของคนรักสุขภาพในเมืองไทยในระยะ ๓ – ๔ ปีมานี้ ดูแล้วยังไม่มีใครแซง “เครื่องดื่มชา” ทั้งชาเขียว ชาดำ ชาแดง ชาขาว ชานานาชนิด และยังมีผลิตภัณฑ์ให้เลือกหลากหลายรูปแบบใบชาแห้งชงน้ำแบบดั้งเดิม ชาผงอินสแตนท์ ชาขวดพร้อมดื่ม ชาบรรจุกล่องเหมือนนม UHT รู้หรือไม่ว่าธุรกิจชาพร้อมดื่มมูลค่าปีละนับหมื่นล้านบาท !
    เหตุที่ยิ่งขายยิ่งมีคนหันมาดื่มมากขึ้นเพราะกระแสสรรพคุณของใบชานี่เอง ทั้งๆที่มีข้อมูลเรื่องประโยชน์จากชามานานกว่า ๑๐๐ ปีมาแล้ว แต่ไม่เร้าใจเท่าระยะ ๑๐ ปีที่ผ่านมา เมื่อผลการศึกษาพบว่า ชามีฤทธิ์ต้านออกซิเดชั่นหรือต้านอนุมูลอิสระ ต้านมะเร็งหรือลดความเสี่ยงของมะเร็ง ยังมีสรรพคุณที่คนสมัยนี้ชอบมากคือ ลดไขมันและน้ำตาลในเลือด ยังลดการอักเสบ ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียในช่องปากช่วยให้ปากสะอาดไร้กลิ่น
    สรรพคุณโดนใจขนาดนี้ เป็นที่หมายปองของคนประเภทกินไม่ยั้ง กินไม่เหมาะสม และยังไม่ชอบออกกำลังกาย คนกลุ่มนี้มักหาอะไรก็ได้กินดื่มหลังอาหารรวดเดียวเพื่อเป็นยาแก้ได้สารพัดนึก ทำให้เครื่องดื่มชาจึงเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็วนั่นเอง และเพราะการดื่มชาไม่ใช่สิ่งแปลกปลอมในวัฒนธรรมของชาวเอเชีย คนไทยจึงรับการดื่มชาได้ง่าย
    ในใบชามีสารประกอบหลายชนิด ที่พูดถึงกับมาก คือ สารกลุ่มโพลีฟีนอล (polyphenols) และที่อ้างอิงบ่อยๆ ซึ่งเป็นสารในกลุ่มนี้ ชื่อว่า สาร epigallocatechin-3-gallate (EGCG) และสาร epicatechin 3-gallate (EGC) ที่พบส่วนใหญ่ในชาเขียว และสาร theaflavin-3,3 –digallate จะพบมากในชาดำ สารเหล่านี้มีคุณสมบัติหลักทำหน้าที่ต้านออกซิเดชั่น จึงลดความเสี่ยงหรือลดความรุนแรงของโรค มีงานวิจัยอธิบายว่า สารต้านออกซิเดชั่นช่วยยับยั้งขบวนการออกซิเดชั่นของไขมัน (fat oxidation) จึงลดการเกิดของหลอดเลือดแข็งตัว (antherosclerosis) และลดการเกิดโรคหัวใจในที่สุด
    ข้อมูลเท่าที่มีอยู่ในปัจจุบันพบว่า สารอาหารชนิดอื่นก็มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระหรือต้านออกซิเดชั่นได้ เช่น เบต้าแคโรทีน วิตามินอี และวิตามินซี แต่เมื่อจับคู่เปรียบเทียบกันพบว่า คุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระของโพลีฟีนอลในชาเขียวจะโดดเด่นกว่าสารชนิดอื่น จึงทำให้ชาเขียวขายดิบขายดีนั่นเอง


    ในใบชายังมีสารแคททีชิน(Catechin)สูง ซึ่งเป็นสารช่วยในการเพิ่มการเผาผลาญพลังงานและไขมัน จึงมีการนำมาแนะนำให้ดื่มเพื่อการลดน้ำหนักตัว ลองนึกดูสรรพคุณแบบนี้ยิ่งทำให้ผู้คนหันมาดื่มชามากยิ่งขึ้น ซึ่งควรทำความเข้าใจตรงกันว่า การจะได้สรรพคุณหรือรับประโยชน์จากการดื่มชา เพื่อได้รับสารต้านออกซิเดชั่น และสารแคททีนเพื่อให้ร่างกายมีการเผาผลาญมากขึ้นนั้น จำเป็นต้องดื่มชาอุ่นๆ วันละ ๑๐ – ๑๒ ถ้วย ถึงจะได้สารกลุ่ม โพลีฟีนอล (polyphenols) ออกฤทธิ์ได้อย่างเต็มที่ หรือมีการแนะนำเบื้องต้นว่า ควรดื่มอย่างน้อย ๔-๕ ถ้วยต่อวันเพื่อบำรุงสุขภาพ แต่ให้รู้ไว้ด้วยว่า ชาแช่เย็นบรรจุขวดหรือกล่องที่ขายดีขายแพงนั้น ไม่เหลือสรรพคุณทางยาแต่อย่างใด มีแต่รส กลิ่น คาเฟอีน สารแทนนิน และน้ำตาลธรรมดาๆ เท่านั้น
    แต่ไม่ควรลืมด้วยว่า ใบชานอกจากมีสารออกฤทธิ์เพื่อสุขภาพแล้ว ยังมีคาเฟอีนและสารแทนนิน(รสฝาด) รวมอยู่ด้วย สารคาเฟอีนส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ บางคนแพ้สารชนิดนี้ดื่มไปเพียงเล็กน้อยก็ทำให้ใจสั่น นอนไม่หลับ โดยทั่วไปน้ำชา ๑ ถ้วย (ประมาณ ๑๗๐ ซีซี) มีสารคาเฟอีนอยู่ประมาณ ๒๕.๕ – ๓๔ มิลลิกรัม ถ้าดื่มน้ำชา ๑๐ – ๑๒ ถ้วยต่อวันจะได้รับสารคาเฟอีนจำนวนมากด้วย
    และข้อมูลความรู้ที่ควรรับรู้ทั่วกันว่า ในน้ำชาและกาแฟ มีสารคาเฟอีน และมีสารแทนนิน ซึ่งสารทั้ง ๒ ชนิดนี้ มีผลทำให้ร่างกายดูดซึมวิตามินบี และธาตุเหล็กลดลง
    มีการศึกษาพบว่า กาแฟทำให้การดูดซึมธาตุเหล็กลดลงร้อยละ ๒๓-๖๐ ส่วนน้ำชาทำให้การดูดซึมธาตุเหล็กลดลง ร้อยละ ๘๕-๘๘ สารที่ขัดขวางการดูดซึมคือ สารแทนนิน ซึ่งในชามีมากกว่ากาแฟ ในการศึกษายังพบด้วยว่า การดื่มนมไม่ทำให้การดูดซึมธาตุเหล็กเปลี่ยนแปลงพูดง่ายๆ ว่าเสมอตัว และที่น่าสนใจพบว่าการดื่มน้ำส้มกลับทำให้การดูดซึมธาตุเหล็กดีขึ้น ดังนั้นดื่มชาครั้งต่อไปควรบีบมะนาวลงไปด้วย

    นอกจากนี้ควรใส่ใจว่า สารแทนนินที่ส่งผลต่อการดูดซึมวิตามินบีและธาตุเหล็กนั้น จะเพิ่มขึ้นมากเมื่อแช่หรือทิ้งใบชาไว้ในน้ำนานๆ ให้สังเกตว่าถ้ารสชาฝาดมากแสดงว่ามีสารแทนนินมาก จึงไม่ควรแช่ถุงหรือใบชานานเกินไป แต่โชคดีที่การลดการดูดซึมธาตุเหล็กของชานั้น มีผลเฉพาะธาตุเหล็กที่อยู่ในพืช แต่ไม่ส่งผลต่อธาตุเหล็กในเนื้อสัตว์ ไข่ นม ฯลฯ ดังนั้นผู้รับประทานมังสวิรัติ จึงต้องระมัดระวังในการดื่มชา เพราะจะไปลดการได้รับธาตุเหล็กของร่างกาย และแน่นอนว่าสตรีตั้งครรภ์ และเด็กๆ ที่กำลังเติบโต มีความต้องการวิตามินบีและธาตุเหล็ก จึงไม่แนะนำให้ดื่มน้ำชากาแฟ
    และมีข้อเตือนใจสำหรับคนที่อยากได้สรรพคุณดีๆ จากใบชา มีรายงานพบว่าคนที่มีสุภาพดีกินอาหารสมดุลอยู่แล้ว การดื่มชาไม่ส่งผลต่อสภาวะเหล็กในร่างกาย แต่คนที่สุขภาพย่ำแย่และมีภาวะเหล็กในร่างกายต่ำอยู่แล้ว ไม่ควรดื่มน้ำชากาแฟ รายงานนี้เตือนสติอีกประการว่า คนที่หวังดื่มชาเพื่อให้มีสารต้านออกซิเดชั่น เพื่อฟื้นฟูร่างกายมักเป็นคนที่สุขภาพไม่ค่อยดี ดังนั้นขณะที่อยากได้สารต้านอนุมูลอิสระก็ต้องระวังการลดการดูดซึมเหล็กในร่างกายด้วย
    มีเคล็ดลับฝากไว้ ใครที่ยังอดใจทิ้งชาไม่ได้ เพราะติดสารคาเฟอีนเข้าแล้ว และก็เสียดายสรรพคุณดีๆ ในน้ำชา ขอให้หลีกเลี่ยงดื่มชาหลังอาหาร ควรดื่มหลังจากกินอาหารแล้ว ๒ ชั่วโมง และใครที่ดื่มวันละ ๓-๔ ถ้วย ก็ให้ดื่มแบบกระจายๆ อย่าเหมารวดเดียว คือเฉลี่ยดื่มระหว่างมื้ออาหาร เพื่อรอให้ร่างกายย่อยและดูดซึมวิตามินบีและธาตุเหล็กเสียก่อน ...ฉลาดดื่มชาอุ่นๆ รับลมหนาว ดีไหม ?

    โดย กองบรรณาธิการมูลนิธิสุขภาพไทย

    พืชผักอายุสั้น กินแล้วอายุยืน



    พืชผักที่เรา นำมากินมักเป็นพืชอายุสั้น แต่น่าแปลกที่พืชผักเหล่านี้กลับให้พลังชีวิต เต็มไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการและสรรพคุณสมุนไพรอย่างไม่น่าเชื่อ นักการเกษตรบางท่านอาจแย้งว่า พืชผักอีกหลายชนิดไม่ใช่พืชล้มลุกอายุสั้น แต่เป็นไม้ใหญ่ยืนต้น เป็นความจริงที่เถียงไม่ขึ้นแน่นอน แต่กำลังจะบอกกล่าวให้ได้คิด พืชผักสดอายุสั้นไม่เกินสามวันเจ็ดวันเหี่ยวเฉาเน่าหมด แต่เพราะอายุสั้นและสดนี่แหละคือของดีบำรุงชีวิตให้ยืนยาว
    ลองดูพืชผักประเภทไม้ยืนต้น เช่น แค กระถิน ลิ้นฟ้าหรือเพกา ของดีรสอร่อย หรือผลมะกอก ยอดมะยม ลูกสะตอ ช่อสะเดา ขี้เหล็ก แค ขนุน ยอดอ่อนมะม่วง หรือเป็นผักพื้นบ้าน เช่น ผักหวานป่า(ที่เริ่มมีคนนำพันธุ์มาปลูกเป็นแปลงนำไปขายดิบขายดี) ผักติ้ว ผักเม็ก ยอดจวง ยอดจิก กุ่มบก กุ่มน้ำ และพืชผักจากไม้ต้นอีกหลายชนิดที่คนหนุ่มสาวยุคนี้ไม่มีโอกาสได้ลิ้นรส เป็นพืชผักพื้นบ้านรสชาติดีมีประโยชน์มาก
    ตัวอย่างสรรพคุณของพืชผักไม้ ยืนต้น เพกา ฝัก อ่อนมีคุณสมบัติร้อนและมีรสขม กินขับลม และแก้หวัด ไอ หอบ หืด เมล็ดในฝักแก่มีคุณสมบัติเย็น ชาวจีนนำไปในเครื่องดื่มน้ำจับเลี้ยง แก้ร้อนใน แก้ไอ ขับเสมหะ มีรายงานการศึกษาพบว่า ฝักเพกามีฤทธิ์ต้านมะเร็ง
    พืชผักไม้เลื้อยไม้เถาที่น่า สนใจ มีทั้งพืชผักที่คุ้นเคย เช่น ตำลึง ถั่วพู ถั่วฝักยาว น้ำเต้า บวบ แตงกวา ยอดฟักทอง และที่เป็นพืชผักพืชบ้าน เช่น กระทกรก ถั่วแปบ ผักปลัง ฟักข้าว มะระขี้นก ฟักแม้ว ผักเชียงดาว และย่านาง ตัวอย่างสรรพคุณพืชผักกลุ่มนี้ ผักเชียงดาว ได้รับความสนใจมากในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากมีการศึกษาวิจัยพบว่า มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด จึงเป็นที่หมายปองของผู้ป่วยเบาหวานทั่วโลก มีการผลิตเป็นแคปซูล และชาวญี่ปุ่นนำเข้าผักเชียงดาวของไทยไปทำเป็นชาชงดื่มเพื่อลดน้ำตาลในเลือด ผักเชียงดาวยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ มีเบต้าแคโรทีนและวิตามินซีสูงด้วย
    พืชผักประเภทชอบขึ้นในที่ชื้นแฉะหรือในที่ลุ่ม กินกันบ่อยๆ เช่น ผักบุ้ง ผักกระเฉด สายบัว(บัวสาย) บัวบก โสน และผักพื้นบ้าน เช่น ผักแว่น ผักกูด ผักเป็ด ผักหนาม เป็นต้น ตัวอย่างสรรพคุณพืชกลุ่มนี้ เช่น สายบัว เป็นพืชผักจากดอกสวยงาม กลิ่นชวนดม สายบัวมีรสเย็นชื่นใจ ช่วยดับร้อนแก้ไข้ ช่วยลดอุณหภูมิในร่างกาย ยิ่งกินสดๆ กรอบอร่อยและเป็นพืชให้พลังงานต่ำ เหมาะแก่การควบคุมน้ำหนักตัว มีใยอาหารช่วยระบบขับถ่าย และภูมิปัญญาโบราณแนะนำให้สตรีหลังคลอดรับประทานเพื่อช่วยกระตุ้นน้ำนม
    พืชผักที่กินราก และลำต้นใต้ดิน เช่น กระชาย กระทือ กระเจียว ขิง ขมิ้น หน่อไม้ และถั่วงอก เป็นต้น ตัวอย่างสรรพคุณพืชผักกลุ่มนี้ กระทือ เป็นไม้หัวเช่นเดียวกับขิง มีสรรพคุณช่วยขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ใช้เป็นยาบำรุงน้ำนม และช่วยแก้ไข้ได้ด้วย ส่วนที่นำมาปรุงอาหารใช้ได้ทั้งหัวกระทือ หน่อ อ่อน ช่อดอกอ่อน นำมาทำแกงเผ็ด แกงไตปลา และห่อหมกหัวกระทือ อาหารรสเด็ดจากถิ่นปักษ์ใต้ของไทยด้วย
    และพืชผักที่มีอายุสั้น แต่ก็มีรสชาติเฉพาะและสรรพคุณดีไม่แพ้พืชผักชนิดอื่น เช่น ผักชี ผักชีฝรั่ง ผักชีลาว(เทียนตาตั๊กแตน) ผักชีล้อม(ผักชีน้ำ) สะระแหน่ ใบชะพลู ผักแพว ผักแขยง ส้มกบ ผักขี้หูด ผักขม ขอยกตัวอย่าง ผักขมหรือผักโขม เป็นผักพื้นบ้านมหัศจรรย์ สามารถโตแข่งกับวัชพืชได้ ถ้าปลูกเอง ๑๕ วันได้กินแล้ว ปลุกก็ง่ายใช้เมล็ดหว่านเดียวก็ขึ้น ผักขมมีคุณค่าอาหารดีกว่าผักคะน้า โดยเฉพาะธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นธาตุที่ผู้หญิงทุกคนต้องการมาก ในทางยาใบสดใช้รักษาแผลได้ ต้นใช้แก้ไอ รากใช้ขับพิษร้อน ขับปัสสาวะ
    พืชผักมากมายที่กล่าว ถึงและที่ยังกล่าวถึงไม่หมดนั้น สามารถนำมาปรุงอาหารได้หลากหลายชนิด แต่มีเมนูหนึ่งที่น่าสนใจซึ่งน่าจะนำไปประชันกับผักสลัดของฝรั่งได้ สลัดแบบไทยๆ คือ อาหารประเภทยำผัก แต่ใส่น้ำสลัดรสชาติที่แตกต่างจากน้ำสลัดหรือ dressing ของฝรั่ง มีแม่ครัวไทยเขาถือหลักปรุงยำผักไทย โดยให้รสชาติของพืชผักหลายรสในจานเดียว ทั้งเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม เผ็ด ร้อน ฝาด ขม และยังมีกลิ่นหอมที่ได้จากพืชผักที่มีน้ำมันหอมระเหยตามธรรมชาติ ใครได้ชิมแล้วเป็นต้องติดใจ เมนูนี้เข้าหลักทฤษฎีแพทย์แผนไทยที่กินอาหารสมุนไพรให้หลายหลายรสยา เป็นการรักษาสมดุลให้กับร่างกาย ช่วยบำรุงสุขภาพนั่นเอง
    จึงขอแบ่งปันเมนูผักสด อายุสั้น แต่กินแล้วอายุยืน ให้หาพืชผักอย่างน้อยดังนี้ ใบชะพลู ผักแพ้ว ใบบัวบก ใบโหระพา ผักแขยง ใบมะยม ใบมะดัน ผักชีลาว ผักชีฝรั่ง ถั่วพลู ถั่วฝักยาว ผักกาดหอม กระชาย ขมิ้นขาว ขิง แครอท ผักติ้ว และผักพื้นบ้านอื่นๆ ตามฤดูกาล ถ้าได้ที่มีกลิ่นหอม กลิ่นฉุนมีรสเผ็ดร้อนยิ่งดี นำผักเหล่านี้มาซอยให้เป็นชิ้นเล็กๆ นำมาคลุกให้เข้ากัน จากนั้นให้ปรุงน้ำยำหรือน้ำสลัด โดยการเคี่ยวน้ำตาลปี๊บ ผสมกับน้ำส้มสายชู ถ้าให้รสชาติอร่อยให้ใส่เนื้อสัปปะรสลงไปเคี่ยวด้วย จะได้รสอมหวานอมเปรี้ยวแบบฉบับเฉพาะออกมา เครื่องเคียงที่ขาดไม่ได้ในรสยำ คือ มะพร้าวคั่ว ปลาคั่วบดละเอียด งาขาวงาดำคั่วป่น นำไปโรยกับผักนับสิบๆ ชนิด และอาจบีบมะนาวคลุกเคล้าด้วย เมนูสลัดผักหรือยำผักเพื่อสุขภาพรสอร่อยก็พร้อมเสริ์ฟให้รับประทานได้ทันที
    พืชผักให้คุณค่าทางโภชนาการ มีสารต้านอนุมูลอิสระ มีฤทธิ์ทางยามากมาย หากได้กินยำผักให้หลากหลายชนิดสลับไปมา หรือพลิกแพลงตามรสที่ชอบหรือตามฤดูกาลของผัก กินให้ได้สัปดาห์ละ ๒-๓ มื้อ เป็นการช่วยปรับสมดุล เสริมคุณค่าและเพิ่มสรรพคุณสมุนไพรตามรสยา
    พืชผักกินสดๆ รสโอชะ เป็นโอสถ ช่วยเสริมสร้างสุขภาพให้ยืนยาว

    สุขภาพดีต้องมาก่อน

    "อโรคยา ปรมา ลาภา" ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ
    เพราะการมีสุขภาพที่ดีมีความสำคัญเป็นอันดับแรก ซึ่งมักจะมาคู่กับรูปโฉมโนมพรรณที่น่ามอง
    และใครๆ ก็อยากเป็นเจ้าของผิวสวย สุขภาพดีกันทั้งน๊านนนน
    แต่ละคนจึงพยายามหาหนทางที่จะทำให้ตัวเองดูดีที่สุดในสายตาคนข้างกาย รวมถึงเริ่ดที่สุดกับสายตาผู้คนภายนอกด้วย
    ก็แหม! หากสุขภาพกายไม่ดีก็จะพลอยทำให้สุขภาพใจย่ำแย่ไปด้วย เจ็บป่วยออดๆ แอดๆ อยู่ตลอด ก็คงจะไม่มีกะจิตกะใจจะออกไปทำงาน หรือออกไปพบปะสังสรรค์กับใคร (เพื่อนไม่อยากคบ) แล้วมีวิธีไหนบ้างล่ะที่จะทำให้เรามีสุขภาพดี เป็นสาวพันปีตลอดกาลความจริงก็ไม่ใช่เรื่องลับซับซ้อนอะไร วันนี้แคนดี้ จะนำเคล็ดลับการมีสุขภาพดี ผิวสวย รวยเสน่ห์ มาฝากคุณๆ กัน
    สุขภาพดีเริ่มจากอะไรบ้าง
    1.การกินอย่างฉลาด 2.การแต่งเสริมเติมเสน่ห์ 3.การออกกำลังกาย 4.การพักผ่อนให้เพียงพอ 5.การบริโภคข่าวสารในเชิงบวก
    การกินอย่างฉลาดเป็นอย่างไร
    ก่อนหน้านี้แคนดี้ก็เป็นคนนึงนะคะ ที่กินมันทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม่ค่อยได้ใส่ใจว่าจะมีประโยชน์หรือให้โทษยังงัยบ้าง ก็จะไม่ให้กินได้ยังงัยล่ะ อาหารแต่ละอย่างหน้าตามันน่ากินทั้งน๊านนน พอเห็นอะไรก็น้ำลายหกไปหมด ไม่ว่าถูกหรือแพง แคนดี้เป็นต้องซื้อมาลองชิมทุกทีไป กลัวจะเชยว่างั้น
    แต่ด้วยวัยที่เพิ่มขึ้น สุขภาพก็เริ่มแย่ พูดง่ายๆ คือ แคนดี้ยังไม่อยากให้ใครๆ มองว่า “แก่ง่ายตายช้า” ค่ะ เพราะคำนี้มันช่างโหดร้ายกับผู้หญิงสวยๆ อย่างเราซะจริงๆ
    แคนดี้จึงต้องรีบหันกลับมาดูแลสุขภาพตัวเองอย่างเร่งด่วน ตั้งแต่เข้าฟิตเนส ไปนวดลดไขมันกระชับสัดส่วน กินอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ และที่ขาดไม่ได้คือ ให้ความใส่ใจกับอาหารที่กินครบ 3 มื้อ แม้แต่อาหารว่างยังต้องใส่ใจลงไปด้วย หลังจากที่หันกลับมาตั้งใจดูแลตัวเอง ไม่นาน คนรอบข้างเริ่มตั้งฉายาให้ใหม่ เรียกว่า ยัยแคนดี้ “แก่ช้าหน้าเด้ง” ถ้าคุณผู้อ่าน อยากจะเปลี่ยนมาเป็นคนใหม่แบบแคนดี้แล้วก็ ต้องพยายามรู้จักเลือกกินกันหน่อย กินแต่อาหารที่มีประโยชน์ หลากหลาย กินแต่พอดีกับความต้องการของร่างกาย ไม่มากไม่น้อยเกินไป ไม่ใช่กินมากจนไขมันล้นออกมาอ้วนเป็นหมู หรือกินน้อยจนผอมกลายเป็นโรคขาดสารอาหารไป สิ่งใดควรกินก็กิน สิ่งใดที่ไม่ควรกินก็อย่าดันทุรังกินมันเข้าไป เช่น อาหารที่มีข้อห้ามกับโรคต่างๆ อาหารที่ไม่แน่ใจว่าปนเปื้อนสารพิษหรือไม่ อาหารที่หมดอายุ สรุปง่ายๆ แม้แต่การกิน ก็ต้องเดินสายกลาง
    เพราะทุกวันนี้ในอาหารที่เรากินนั้นมีสารพิษปนเปื้อนอยู่เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นยาฆ่าแมลง สารเร่งสี หรือ ฮอร์โมนเร่งการเติบโตของสัตว์ ทุกครั้งทีเรากินอาหารเหล่านั้นเข้าไป เราก็จะได้รับสารพิษเข้าไปในร่างกายด้วย สารพิษพวกนี้เป็นอนุมูลอิสระที่เข้ามาทำลายอวัยวะต่างๆ ทำให้เกิดโรคและความเจ็บป่วยได้ง่าย เช่น โรคมะเร็ว เบาหวาน ความดัน ซึ่งเป็นโรคยอดฮิตเกิดขึ้นได้กับทุกคนไม่ว่ายากดีมีจนก็มีโอกาสเป็นกันได้ทั้งนั้นแหล่ะ ประมาณว่า "อร่อยปาก ลำบากกาย"
    แต่แคนดี้ไม่ได้บอกให้คุณเลิกกินอาหารพวกนี้ไปเลยนะคะ
    เพียงแต่ว่า...เมื่อกินเข้าไปแล้วมันจะเกิดอนุมูลอิสระขึ้นมากมายในร่างกายเรา ก็ต้องรู้จักกินสารต้านอนุมูลอิสระเข้าไปด้วย

    บำรุงสายตา

    "ดวงตา" เป็นส่วนหนึ่งของประสาทรับรู้ทั้ง 5 หากปราศจากดวงตาเสียแล้ว โลกอันสดใสใบนี้ คงไม่มีความจำเป็นจะต้องปรุงแต่งอะไรอีก
    เพราะหากไม่มีดวงตา คุณจะเห็นว่าฟ้าสวยได้อย่างไร
    แม้แต่คนที่เสียชีวิตไปแล้ว ก็ยังสามารถบริจาคดวงตาให้กับคนที่อยู่ต่อ เพื่อจะได้ใช้ดวงตาคู่นั้นให้เกิดประโยชน์ได้อีก เพียงเท่านี้ก็เพียงพอที่จะเห็นความสำคัญของอวัยวะคู่นี้แล้วใช่มั๊ยคะ
    แล้วคุณที่ยังมีดวงตาอยู่ล่ะ วันนี้คุณดูแลสุขภาพตาของคุณดีพอแล้วหรือยัง
    คุณทราบหรือไม่ว่า ดวงตาของคุณอ่อนล้าเพียงใด จากการใช้สายตาทำงานตลอดทั้งวัน
    ดวงตาก็ต้องการการพักผ่อน และการบำรุง ไม่น้อยไปกว่าอวัยวะส่วนอื่นๆ ของคุณนั่นแหล่ะ รีบดูแลและบำรุงดวงตาของคุณเสียตั้งแต่วันนี้ ก่อนที่จะไม่มีดวงตาคู่นี้ให้มองอีกต่อไป
    สารอาหารที่จำเป็นสำหรับดวงตา
    สารอาหารที่มีข้อมูลสนับสนุนว่า มีความสัมพันธ์กับโรคตามีอยู่หลายตัวด้วยกันคือ วิตามินเอ วิตามินซี วิตารมินดี รวมถึงอาหารที่มีงานวิจัยอย่างกว้างขวางว่ามีประโยชน์กับดวงตาก็คือ ลูทีน (Lutein) และ ซีแซนทีน (Zeaxanthin)
    ลูทีนและซีแซนทีน เป็นสารธรรมชาติที่มีในพืชผักผลไม้หลายชนิด เป็นสารในตระกูลของสารแคโรทีนอยด์ และพบได้ในบริเวณดวงตา โดยเฉพาะตรงบริเวณเลนส์ตาและจอรับภาพตาในธรรมชาติ แม้จะมีแคโรทีนอยด์ มากกว่า 600 ชนิด แต่มีเพียงสาร 2 ชนิดนี้เท่านั้น ที่พบในจุดรับภาพของจอตา สารทั้งสองชนิดนี้จะทำหน้าที่ช่วยกรองหรือป้องกันรังสสีจากแสงแดดที่เป็นอันตรายต่อดวงตา และช่วยปกป้องเซลล์ของจอประสาทตาไม่ให้ถูกทำลาย โดยการลดอนุมูลอิสระ ดังนั้น จึงทำหน้าที่บำรุงตา ทำให้จอตาไม่เสื่อมเร็ว พืชผักที่มีสาร ลูทีนและซีแซนทีนโดยมากมักจะเป็นผลไม้ที่มีสีเหลือง และสีเขียวเข้ม เช่นข้าวโพด แครอท ฟักทอง ผักกาด ผักปวยเล้ง คะน้า ผักโขม เป็นต้น การบริโภคพืชผักที่มีลูทีนและซีแซนทีน หรือจะเลือกเป็นอาหารสุขภาพที่มีสารสำคัญสองอย่างนี้ คือ LZ vit ( เป็นผลิตภัณฑ์ชนิดเดียวที่มีสารสำคัญทั้งลูทีนและซีแซนทีน) จึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อสุขภาพของดวงตา และลดความเสี่ยงการเกิดโรคหลายชนิด โดยเฉพาะ โรคต้อกระจก และโรคจุดรับภาพเสื่อม

    มีวิธีการกินอย่างไร..ให้สุขภาพดี ?

    อาหารและสุขภาพเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกันการเกิดโรคบางชนิดมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการกินอาหารที่ไม่เหมาะสม หลายคนเคยหลงรูปรส หรือความสะดวกรวดเร็วของอาหารที่แฝงไปด้วยพิษภัยอย่างเงียบๆ เช่น อาหารฟาสต์ฟู้ดอาหารสำเร็จรูป เบเกอร์รี่ ขนมขบเคี้ยว น้ำอัดลม ฯลฯซึ่งเป็นวัฒนธรรมการกินที่ผิดและตกยุคเพราะคนทั่วโลกต่างให้ความสนใจและหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้นจนเกิดกระแสรักสุขภาพและการกินเพื่อสุขภาพตามมา



    โดยมีข้อแนะนำ 7 เคล็ดลับการกินเพื่อสุขภาพ ดังนี้

    1.กินอาหารเช้าเป็นประจำมื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด และควรเป็นมื้อ ที่มีคุณค่าครบทั้ง 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะนอกจากจะช่วยเติมพลังให้ร่างกายและสมองแล้วยังช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเส้นเลือด ช่วยให้การเผาผลาญพลังงานดีขึ้น

    2.เลือกอาหารจากธรรมชาติไม่ขัดสีเช่น ข้าวกล้อง ข้าวบาร์เลย์ (มอลต์) ถั่ว ข้าวสาลี (โฮลวีต) เมล็ดทานตะวัน เป็นต้นอาหารเหล่านี้มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และเป็นแหล่งรวมของแร่ธาตุ วิตามินโปรตีนที่ปราศจากโคเลสเตอรอลและคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน มีสารแอนติออกซิแดนท์ ใยอาหารและปัจจัยอื่น ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจนอกจากนี้ยังช่วยลดโคเลสเตอรอลและความดันโลหิตหรืออาจเลือกอาหารที่มีส่วนผสมของธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ขนมปังโฮลวีต ซีเรียลจากมอลต์เป็นต้น

    3.เพิ่มผักและผลไม้ในมื้ออาหารและกินเป็นประจำเพื่อเพิ่มวิตามิน เกลือแร่ และสารอื่นๆที่จำเป็นต่อร่างกาย ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจและช่วยนำโคเลสเตอรอลและสารก่อมะเร็งบางชนิดออกจากร่างกายทำให้ลดการสะสมของสารก่อมะเร็งบางชนิด และมีกากใยช่วยในการขับถ่ายช่วยให้กระบวนการต่างๆในร่างกายดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    4.ลดขนมขบเคี้ยวและขนมอบที่มีแต่ไขมัน เกลือ น้ำตาลและสารปรุงแต่งอื่นๆที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพหากอยากกินขนมอาจหันมากินขนมที่มีส่วนผสมของธัญพืช เช่น ขนมปังโฮลวีตคุกกี้หรือแคลกเกอร์ผสมมอลต์ เป็นต้นเพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้กับขนมที่มีประโยชน์น้อย อย่างไรก็ตามควรกินในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น

    5.กินปลา ไข่และเนื้อสัตว์ไม่ติดมันอาหารเหล่านี้เป็นแหล่งโปรตีนที่ดีช่วยเสริมสร้างร่างกายในผู้เยาว์ และซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสื่อมสลายในผู้สูงวัยเป็นส่วนประกอบของสารสร้างภูมิคุ้มกันโรคติดเชื้อ นอกจากนี้ยังมีโปรตีนเหล่านี้ยกเว้นไข่แดงที่มีไขมันน้อย จึงลดความเสี่ยงโรคอ้วน ไขมันในเส้นเลือดสูงเป็นต้น

    6.ดื่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพแทนน้ำหวาน น้ำอัดลมหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ซึ่งมีน้ำตาลสูงการดื่มน้ำผักและผลไม้ หรือเครื่องดื่มมอลต์ก็เป็นทางเลือกที่ดีเพราะอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุกว่า 50 ชนิด เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย อาจใช้เป็นอาหารเสริมสำหรับผู้สูงอายุผู้ป่วยพักฟื้น สตรีมีครรภ์ นักกีฬา นอกจากนี้หากดื่มก่อนนอนจะช่วยให้หลับง่ายเพราะมีสารทริปโตแฟนทีช่วยให้ประสาทผ่อนคลายแต่ต้องชงโดยใช้น้ำตาลให้น้อยที่สุด

    7.ดื่มน้ำและนมให้เป็นนิสัยควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อช่วยระบบขับถ่ายและมีน้ำหล่อเลี้ยงในเซลล์ต่างๆของร่างกายและควรดื่มนมอย่างน้อยวันละ 1-2 แก้วทั้งในเด็กและผู้ใหญ่เพราะนมอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการสูง เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน แคลเซียมเป็นต้น ช่วยในการเจริญเติบโตของเด็กๆ ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรงชนิดของนมขึ้นอยู่กับวัย หากเป็นเด็กที่กำลังเจริญเติบโตควรเป็นนมจืดธรรมดาแต่ในผู้สูงอายุควรเป็นนมพร่องมันเนย เพื่อลดโคเลสเตอรอลหรืออาจเลือกนมผสมมอลต์เพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้สูงขึ้น

    อย่างไรก็ตามการกินเพื่อสุขภาพมีหลากหลายวิธี อยู่ที่ว่าใครจะเลือกปฏิบัติแบบไหนหลักง่ายๆคือกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ครบทุกมื้อแต่เลือกชนิดและปริมาณที่เหมาะสมนอกจากนี้ต้องออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยจึงจะมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง อารมณ์สดใสและห่างไกลจากโรคร้ายต่างๆ

    ThankYou
    สมุนไพรดอทคอม

    Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More