www.facebook.com/kuunepage

..... คูเน่ คู่ครัว คู่มื้อสุขภาพ คู่คุณ

คูเน่ นวัตกรรมเครื่องปรุงครบรส จากธรรมชาติเพื่อสุขภาพ

.

Search This Blog

Translate

คุ้มค่าด้วยคุณค่า เติมสุขเสริมสุขภาพ ใช้ปรุงอาหาร หรือชงดื่มเพื่อสุขภาพ หอมชงปานะ

นวัตกรรมเครื่องปรุงครบรสเพื่อสุขภาพ ผลงานวิจัยดีเด่น ม.เกษตรฯ ผลิตจากหอมหัวใหญ่ เข้มข้น 3 เท่า ช่วยป้องกันความเสี่ยงต่อโรคอ้วน ความดัน เบาหวาน หัวใจ สารก่อมะเร็ง ช่วยชะลอความชรา
อีกทั้งช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ (อนุภาคหอมหัวใหญ่จะเกาะตัวกันตามธรรมชาติ โดยปราศจากสารเคมีป้องกันการเกาะตัว)

Friday, July 6, 2012

ผลกระทบของสารเคมีที่มีต่อสุขภาพ


ผลกระทบของสารเคมีที่มีต่อสุขภาพ
ศักดา ศรีนิเวศน์
ส่วนบริหารศัตรูพืช สำนักพัฒนาคุณภาพสินค้าเกษตร
กรมส่งเสริมการเกษตร
E-mail : agriqua30@doae.go.th
ปัจจัยที่ทำให้สารเคมีมีผลต่อสุขภาพของคน จากการศึกษาของ Dr.Helen Marphy ผู้เชี่ยวชาญทางด้านพิษวิทยา จากโครงการ Community IPM จาก FAO ประเทศอินโดนีเซีย พบว่าปัจจัยที่มีความเสี่ยงของสุขภาพของคนอันดับต้น ๆ คือ
1. เกษตรกรใช้สารเคมีชนิดที่องค์การ WHO จำแนกไว้ในกลุ่ม 1a และ 1b คือ ที่มีพิษร้ายแรงยิ่ง (Extremely toxic) และมีพิษร้ายแรงมาก (Very Highly toxic) ตามลำดับ ซึ่งมีความเสี่ยงสูงทำให้เกิดการเจ็บป่วยแก่เกษตรกร ซึ่งใช้สารพิษ โดยเฉพาะสารทั้งสองกลุ่ม ดังกล่าว
2. การผสมสารเคมีหลายชนิดฉีดพ่นในครั้งเดียว ซึ่งเป็นลักษณะที่ทำให้เกิดความเข้มข้นสูง เกิดการแปรสภาพโครงสร้างของสารเคมี เมื่อเกิดการเจ็บป่วยแพทย์ไม่สามารถรักษาคนไข้ได้เนื่องจากไม่มียารักษาโดยตรง ทำให้คนไข้มีโอกาสเสียชีวิตสูง
3. ความถี่ของการฉีดพ่นสารเคมี ซึ่งหมายถึงจำนวนครั้งที่เกษตรกรฉีดพ่น เมื่อฉีดพ่นบ่อยโอกาสที่จะสัมผัสสารเคมีก็เป็นไปตามจำนวนครั้งที่ฉีดพ่น ทำให้ผู้ฉีดพ่นได้รับสารเคมีในปริมาณที่มากและสะสมในร่างกายและผลผลิต
4. การสัมผัสสารเคมีของร่างกายผู้ฉีดพ่น บริเวณผิวหนังเป็นพื้นที่ ๆ มากที่สุดของร่างกาย หากผู้ฉีดพ่นสารเคมีไม่มีการป้องกัน หรือเสื้อผ้าที่เปียกสารเคมี และโดยเฉพาะบริเวณที่มือและขาของผู้ฉีดพ่น ทำให้มีความเสี่ยงสูง ทั้งนี้เพราะสารเคมีป้องกันและกำจัดศัตรูพืชถูกผลิตมาให้ทำลายแมลงโดยการทะลุทะลวง หรือดูดซึมเข้าทางผิวหนังของแมลง รวมทั้งให้แมลงกินแล้วตาย ดังนั้น ผิวหนังของคนที่มีความอ่อนนุ่มกว่าผิวหนังของแมลงง่ายต่อการดูดซึมเข้าไปทางต่อมเหงื่อนอกเหนือจากการสูดละอองเข้าทางจมูกโดยตรง จึงทำให้มีความเสี่ยงอันตรายมากกว่าแมลงมากมาย
5. พฤติกรรมการเก็บสารเคมี และทำลายภาชนะบรรจุไม่ถูกต้อง ทำให้อันตรายต่อผู้อยู่อาศัย โดยเฉพาะเด็ก ๆ และสัตว์เลี้ยง
องค์การอนามัยโลกได้จัดลำดับความรุนแรงของสารเคมีในรูปของการจัดค่า LD50 ซึ่งค่า LD50 นี้หมายถึงระดับความเป็นพิษต่อร่างกายของมนุษย์ โดยคำนวณบนฐานของการทดลองกับหนู ซึ่งจะคิดจากปริมาณของสารเคมีเป็นมิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัวหนูเป็นกิโลกรัม ที่สามารถมีผลต่อการฆ่าหนูจำนวน 50% ของหนูทดลองทั้งหมด
ระดับความรุนแรงจากพิษของสารเคมีในแต่ละระดับ สามารถมองรายละเอียดในรูปของปริมาณของสารเคมี ซึ่งมีผลต่อการทดลองในหนูตามรายละเอียดในตารางต่อไปนี้
ระดับความรุนแรง
ค่า LD50 (มิลลิกรัม/กก. ของน้ำหนักหนูทดลอง)
รับสารพิษทางปาก
ชนิดผง
ชนิดน้ำ
1a
5 มิลลิกรัม หรือน้อยกว่า
20 มิลลิกรัม หรือน้อยกว่า
1b
5 – 50 มิลลิกรัม
20 – 200 มิลลิกรัม
II
50 – 500 มิลลิกรัม
200 – 2000 มิลลิกรัม
III
500 – 2000 มิลลิกรัม
2000 – 3000 มิลลิกรัม
IV
มากกว่า 2000 มิลลิกรัม
มากกว่า 3000 มิลลิกรัม
หมายเหตุ ข้อมูลจากโครงการนานาชาติเพื่อการใช้สารเคมีอย่างปลอดภัย, การจัดลำดับความรุนแรงของพิษจากสารเคมีขององค์การอนามัยโลกและแนวทางสู่การจัดลำดับความเป็นพิษ 1996 – 1997
องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้จัดลำดับความรุนแรงจากพิษสารเคมีโดยจำแนกดังนี้ไว้ดังนี้ องค์การอนามัยโลกได้จำแนกประเภทของสารเคมีตามชื่อสามัญ (Common Name) ของสารเคมีที่เข้าไปมีผลต่อร่างกายมนุษย์ ซึ่งการจำแนกโดยทั่วไปนั้นจะสอดคล้องกับค่า LD50 ซึ่งกล่าวถึงแล้วในตอนต้น โดยแบ่งเป็น 5 ระดับความรุนแรงดังต่อไปนี้
1a = ระดับอันตรายร้ายแรงยิ่ง
1b = ระดับอันตรายร้ายแรงมาก
II = ระดับอันตรายปานกลาง
III = ระดับอันตรายน้อย
IV = ระดับอันตรายน้อยที่สุด
สารเคมีมีหลายประเภท สามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ตามผลที่มีต่อร่างกายของมนุษย์ดังนี้ 1. ออแกนโนฟอสเฟส (OP) มีผลต่อระบบประสาท ซึ่งส่งผลต่อร่างกายในระยะยาว
2. คาร์บาเมต (C) มีผลต่อระบบประสาทในระยะสั้น
3. ออการ์โนคลอรีน (OC) มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลางในระยะยาว
4. ไพรีทรอยต์ (PY) สร้างความระคายเคื่องต่อร่างกายภายนอก
5. ไธโอคาร์บาเมต (TC) สร้างความระคายเคืองต่อร่างกายภายนอกเช่น ตา ผิวหนัง
6. พาราควอท (P) เป็นสารกำจัดวัชพืช สร้างความระคายเคืองต่อผิวหนัง แต่หากเข้าสู่ระบบการไหลเวียนของโลหิต ผ่านทางผิวหนังหรือบาดแผล จะส่งผลรุนแรงต่อการทำงานของอวัยวะสำคัญภายในร่างกาย เช่น ตับ และไต
ออแกนโนฟอสเฟส (Organophosphates : OP) ส่งผลต่อการทำงานของระบบประสาท เนื่องจากสารเคมีตัวนี้เมื่อเข้าไปสู่ร่างกาย จะติดเกาะอยู่กับเอนไซม์ในร่างกายที่ชื่อ ACHE-acetylcholinesterase ที่ทำหน้าที่ปิดสะพานการเชื่อมต่อระหว่างระบบประสาทกับอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกาย เมื่อเอนไซม์ ACHE ไม่สามารถปิดสะพานเชื่อมจากระบบประสาทกับอวัยวะในร่างกายได้ ก็ทำให้เกิดการทำงานมากกว่าปกติอวัยวะเหล่านั้น เช่น กล้ามเนื้อที่ทำงานมากเกินไป ทำให้ขาสั่นตลอดเวลา หรือน้ำลาย น้ำตา หรือเหงื่อที่ออกมากผิดปกติ จากการทำงานมากเกินไปของต่อมเหล่านี้ ซึ่งอาจเกิดขึ้นในช่วง 30 นาทีหลังรับสารเคมีและอาจมีผลต่อเนื่องถึง 24 ชั่วโมง ซึ่งในตารางต่อไปนี้จะเป็นรายละเอียดของอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากสารเคมีกลุ่มนี้
ระบบประสาทส่วนกลาง เหนื่อยง่าย เดินโซเซ
เวียนศีรษะ ชัก
ปวดศีรษะ หมดสติ
มือสั่น ช็อก
ผลต่อการทำงานมากเกินไปของกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้ออ่อนล้า
ตะคริว
หนังตากระตุก
ผลจากการทำงานมากเกินไปของต่อมต่าง ๆ ในร่างกาย ต่อมน้ำลาย น้ำลายออกมากเกินไป
ต่อมเหงื่อ เหงื่อออกมาก
ต่อมน้ำตา น้ำตาไหลมาก
ผลจากการถูกกระตุ้นมากเกินไปใน อวัยวะส่วนอื่น ๆ ตาพร่ามัว ท้องร่วง
ปวด, เกร็ง ที่กระเพาะอาหาร แน่นหน้าอก
คลื่นไส้ หายใจขัด
อาเจียน ไอ
น้ำมูกไหล

คาร์บาเมต (Carbamates : C)
มีผลกระทบทำนองเดียวกับออร์แกนโนฟอสเฟต คือ หยุดการทำงานของเอนไซม์ ACHE-acetylcholinesterase และทำให้ร่างกายถูกกระตุ้นให้ทำงานมากเกินไป อาการเกิดขึ้นเร็วกว่า (ตั้งแต่ 15 นาที หลังรับสารเคมี) แต่ก็ต่อเนื่องอยู่ราว ๆ 3 ชั่วโมง อาการโดยทั่ว ๆ ไปก็เหมือนกันแต่อาจพบอาหารต่อไปนี้น้อยกว่า
- เกร็ง, ชัก
- หมดสติ
- ช็อก

ออแกนโนคลอรีน (Organochiorines : OC) มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง โดยที่เซลล์ไขมันในร่างกายจะดูดซับสารเคมีชนิดนี้ไว้ ทำให้การตกค้างในร่างกายอยู่ในระยะยาวกว่า และที่สำคัญจะมีผลต่อความเป็นพิษในน้ำนมของผู้ที่เป็นแม่ ผลเกิดขึ้นตั้งแต่ 1 ชั่วโมง หลังรับสารเคมีและอาจต่อเนื่องถึง 48 ชั่วโมง สารในกลุ่มนี้บางตัว เช่น เอ็นโดรซัลเฟน สามารถถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายและรวดเร็ว โดยผ่านทางผิวหนัง อย่างไรก็ตาม เซลล์ประสาทที่กระตุ้นการทำงานของต่อมต่าง ๆ ไม่ได้รับผลกระทบ ดังนั้นเราจึงไม่พบอาการบางอย่างต่อไปนี้
- น้ำลายไหลมาก
- น้ำตาไหลมาก
- เหงื่อออกมาก
- หนังตากระตุก แต่อาการต่อไปนี้สามารถพบได้ เพราะเป็นผลมาจากผลกระทบต่อการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง
- กล้ามเนื้ออ่อนล้า
- เกร็งชัก
- เวียนศีรษะ
- อาเจียน
- ปวดศีรษะ
- มือสั่น
- มือขาชา
- เดินโซเซ
- คลื่นไส้
- หงุดหงิด / กระวนกระวาย
- หมดสติ มีการศึกษาพบว่า สารเคมีกลุ่มนี้จะสะสมอยู่ในบริเวณที่เป็นไขมันของร่างกายเป็นสารก่อมะเร็ง มีผลต่อต่อมต่าง ๆ ในร่างกาย ทำให้เกิดการสับสนทางเพศในหญิงมีครรภ์ ลูกที่เกิดอาจมีความผิดปกติทางเพศหรือเบี่ยงเบนเพศได้
ไพรีธรอยด์ (Pyrethrioids : PY) สร้างความระคายเคืองต่อตา ผิวหนังและทางเดินหายใจ อาการมีผลอยู่ระหว่าง 1 – 2 ชั่วโมง ซึ่งจะปรากฎอาการต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
รับสารเคมีในภาวะปกติ - ชา - เจ็บคอ
- หายใจถี่ - แสบจมูก
- คอแห้ง - คัน
หากเข้าสู่ระบบการย่อยอาหาร - หมดสติ / ช็อก - เกร็ง, ชัก
หากรับสารในปริมาณสูง - อาเจียน - หนังตากระตุก
- ท้องร่วง - เดินโซเซ
- น้ำลายไหลผิดปกติ - หงุดหงิด

ไธโอคาร์บาเมต (Thiocarbamates : TC) ส่งผลลักษณะเดียวกันกับไพรีธรอยด์ กล่าวคือ สร้างความระคายเคืองต่อผิวหนังตา และระบบการหายใจ ซึ่งอาการจะปรากฎทันที เมื่อรับสารเคมี
ระบบการหายใจ - คอแห้ง แสบจมูก
เจ็บคอ ไอ
ตา เคืองตา ตาแดง
ผิวหนัง คัน ผิวหนังตกสะเก็ด
ตุ่มขาวบนผิวหนัง ผื่นแดง
พาราควอท (Paraquat : P)
เป็นพิษอย่างมากต่อผิวหนังและเยื่อบุ (Mucous Membranes) ซึ่งอยู่ในปาก จมูกและตา อย่างไรก็ตาม โมเลกุลของพาราควอทมีขนาดใหญ่เกินไปที่จะซึมเข้าร่างกายทางผิวหนัง แต่หากร่างกายมีบาดแผล พาราควอทจะเข้าสู่ร่างกายทางเส้นเลือดและส่งผลอย่างรุนแรงต่อการทำงานของอวัยวะภายใน เช่น ปอด ไต ซึ่งหากเข้าสู่ร่างกายโดยตรงทางปาก ทำให้เกิดอาการวายของอวัยวะสำคัญ เช่น ไต ปอด ได้ พบว่าเกษตรกรบางรายเล็บเท้ามือหลุด เนื่องจากการสัมผัสกับสารพาราควอทโดยตรง ห้ามทำให้ผู้รับสารพาราควอทอาเจียนเด็ดขาด
ผิวหนัง - แห้ง, แตก พุพอง
ผื่นแดง แผลมีหนอง
เล็บ เล็บซีด เล็บหลุด
หักง่าย
ระบบทางเดินหายใจ ไอ เจ็บคอ
เลือดกำเดาไหล
ตา เยื่อบุตาอักเสบ (ระคายเคือง)
ตาบอด
ระบบทางเดินอาหาร ตับวาย
หยุดการหายใจ
ไตวาย
อาการที่เกิดจากพิษสารเคมีและวิธีการตรวจสอบ
อาการที่เกิดจากสารเคมีแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะคือ อาการที่สังเกตเห็นได้จากภายนอก (signs) และอาการที่ผู้รับสารเคมีรู้สึกจากภายใน (symptoms) ซึ่งเรามองไม่เห็นและการรับทราบอาการก็จะมาจากการสอบถามพูดคุย
อาการที่สังเกตเห็นได้ (Signs) มีวิธีการที่ตรวจสอบดังต่อไปนี้
อาการ
วิธีการสังเกตหรือตรวจสอบ
สั่น มือหรือนิ้วสั่นเมื่อยืนแขนออกมาข้างหน้าพร้อมกางนิ้วออกและวางกระดาษบนมือผู้ที่ถูกตรวจสอบ
หนังตากระตุก ให้ผู้ถูกตรวจสอบนอนหลับตาในลักษณะผ่อนคลาย มองการกระตุก ที่เปลือกตาด้านบนที่จะกระตุกในลักษณะซ้าย ขวา ไม่ใช่ขึ้นลง
เหงื่อออกมากเกินไป มองดูที่หน้าผากและเหนือริมฝีปากบน
ตาแดง ตาขาวทั้ง 2 ข้างจะมีสีแดง
น้ำมูกไหล สังเกตว่าเกษตรกรเช็ดจมูกบ่อยหรือไม่ ซึ่งจะแตกต่างจากการเป็นหวัด เพราะน้ำมูกจะใส หากเป็นหวัดน้ำมูกจะมีสีเหลืองหรือเขียว
ไอ ฟังดูว่าไอบ่อยหรือไม่
หายใจขัด ผู้รับสารเคมีจะหายใจเหมือนมีเสียงนกหวีดในหลอดลม
เดินโซเซ ให้เกษตรกรยืนกางแขน เดินต่อส้นเท้าเป็นเส้นตรง ลักษณะเดียวกันกับการเดินของคนเมา
ท้องร่วง อุจจาระเป็นน้ำมาก
ผิวหนังผื่นแดง ถามว่ามีผื่นแดงที่ใดบ้าง หรือสังเกตที่มือ แขน ขาและเท้า
ตุ้ม/ผื่นขาว สังเกตมือ แขน ขา และเท้า
ผิวหนังตกสะเก็ด
หมดสติ ช็อก เกษตรกรเป็นลมล้มพับลงกับพื้น ปลุกอย่างไรก็ไม่ฟื้นขึ้นมา
ชัก, เกร็ง กล้ามเนื้อทุกส่วนบีบรัดแน่น เหมือนเด็กที่บางครั้งเกิดจากการมีไข้สูง ตาเหลือก กัดฟันแน่น
อาเจียน สิ่งที่ (เพิ่ง) รับประทานเข้าไปกลับออกมากทางเดิมจนหมดสิ้น

อาการที่ไม่สามารถมองเห็น (Symptoms) มีแนวทางในการสอบถามดังต่อไปนี้
อาการ
วิธีการสังเกตหรือตรวจสอบ
คอแห้ง รู้สึกเหมือนตอนที่ตื่นนอนตอนเช้า หากคืนนั้นนอนอ้าปากทิ้งไว้ทั้งคืน
เหนื่อย รู้สึกเหมือนตอนที่ปีนภูเขาหรือต้นไม้สูง ๆ กลับลงมา แขนขาอ่อนล้า ไปหมด
เจ็บหน้าอก รู้สึกคล้ายกับการหายใจเอากลิ่นพริกหรือควันเข้าไปเต็มหลอดลม
คันตา ความรู้สึกเหมือนมีผงละอองเล็ก ๆ เข้าตา
ตาพร่ามัว เหมือนกับการดูหนังหรือรูปถ่ายที่ไม่ได้จุดโฟกัสที่ถูกต้อง
หายใจถี่ สังเกตดูว่าเกษตรกรหายใจเร็วหรือภาวะที่คล้าย ๆ กับการขาดอากาศ หายใจหรือไม่
เวียนหัว ความรู้สึกเหมือนการหมุนตัวหลาย ๆ รอบ
คลื่นไส้ ความรู้สึกเดียวกับช่วงเวลาก่อนเราจะอาเจียน หรือการขับรถบนถนน ร้อยโค้ง หรือนั่งเรือในขณะที่คลื่นไม่เป็นใจ
น้ำลายไหล สังเกตดูว่าเกษตรกรบ้วนน้ำลายบ่อยหรือไม่ หรือถามว่ามีน้ำลายมาก เหมือนตอนที่รับประทานของเปรี้ยว ๆ หรือไม่
เจ็บคอ เจ็บเวลากลืนอาหาร
แสบจมูก ความรู้สึกเหมือนอยู่ในห้องครัวที่กำลังมีคนคั่วพริก คั่วกระเทียมอยู่
ตะคริว ความรู้สึกคล้ายหลังจากเล่นฟุตบอลทั้งวัน กล้ามเนื้อขาเกร็ง แน่นและเจ็บ
ปวดศีรษะ รู้สึกเจ็บแปลบในศีรษะ
ปวด/เกร็งในท้อง ความรู้สึกปวดก่อนได้เวลาเข้าห้องน้ำ หรือก่อนท้องร่วง
คัน ความรู้สึกเหมือนถูกยุงกัด

อาการอื่น ๆ ที่อาจมีลักษณะคล้ายกับการได้รับสารเคมี ความเจ็บป่วยอื่น ๆ ก็มีผลต่ออาการในลักษณะเดียวกับการรับสารเคมี ดังนั้น จึงเป็นเหตุผลจำเป็นที่ควรจะได้มีการตรวจสอบข้อมูลทั้งก่อนและหลังการฉีดสารเคมี เพื่อจะได้มองการเชื่อมโยงที่ถูกต้อง ว่าเป็นเรื่องมาจากสารเคมีหรือปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ซึ่งหากพบว่าอาการเหล่านั้นเกิดขึ้นหลังจากการฉีดยาเท่านั้น ก็อาจจะวินิจฉัยในเบื้องต้นว่าเป็นผลมาจากสารเคมี ตารางต่อไปนี้แสดงให้เห็นถึงอาการที่มาจากสาเหตุอื่น ๆ ซึ่งอาจพบได้ในช่วงก่อนฉีดยา
อาการ
วิธีการสังเกตหรือตรวจสอบ
เหนื่อยล้า นอนไม่พอ
เดินโซเซ ดื่มมากเกินไป
หมดสติ/ช็อก -
เกร็ง, ชัก -
เวียนหัว เป็นไข้หวัด, โรคโลหิตจาง. โรคจากระบบของหัวใจ
ปวดหัว ไข้หวัดใหญ่, ไข้เลือดออก, ดื่มเกินพิกัด
เหงื่อออกมาก ไข้, สวมใส่เสื้อผ้าหลายชิ้นเกินไป
ตาพร่ามัว โรคตาเรื้อรัง (ต้อกระจก)
ปวดตา/คันตา อาการแพ้
ตาแดง ติดเชื้อ
หนังตากระตุก
น้ำลายไหล -
น้ำมูกไหล -
แสบจมูก -
คอแห้ง หิว, ภาวะการขาดน้ำในร่างกาย
เจ็บคอ ไข้หวัดใหญ่, คออักเสบ
เจ็บหน้าอก ภาวะหัวใจไม่ปกติ (ระหว่างการออกกำลังกาย)
หายใจถี่ สูบบุหรี่มากเกินไป, ภาวะการทำงานของหัวใจ
หายใจขัด สูบบุหรี่มากเกินไป, แพ้
ไอ สูบบุหรี่มากเกินไป, ไข้หวัดใหญ่
คลื่นไส้ อาหารเป็นพิษ, ไข้หวัดใหญ่, ดื่มสุรามากเกินไป
ปวดท้อง อาหารเป็นพิษ, ไข้หวัดใหญ่
ท้องร่วง อาหารเป็นพิษ, ไข้หวัดใหญ่
อาเจียน อาหารเป็นพิษ, ไข้หวัดใหญ่
ผื่นแดง โรคผิวหนังอื่น ๆ
ตุ่มขาว โรคผิวหนังอื่น ๆ
ผิวตกสะเก็ด โรคผิวหนังอื่น ๆ
ชา -
คันผิวหนัง หิด, กลาก, เกลื้อน
ตะคริว -
กล้ามเนื้ออ่อนล้า -
สั่น ดื่มสุรามากเกินไป
การตรวจสอบสารพิษในร่างกาย
ผู้ที่ฉีดพ่นสารเคมีป้องกันและกำจัดศัตรูพืช ผู้ผสมสารเคมีหรือผู้ที่สัมผัสสารเคมีโดยตรงสามารถใช้รูปภาพเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบสารเคมีในร่างกายด้วยตนเอง วิธีนี้เป็นวิธีที่คิดและจัดทำโดย Dr. Helen Murphy ผู้เชี่ยวชาญจากองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ซึ่งหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องสามารถนำไปใช้เพื่อเป็นเครื่องมือในการจัดเก็บข้อมูลอันตรายของสารเคมีกำจัดศัตรูพืช แต่ละชนิด ทั่วทุกพื้นที่ของประเทศโดยละเอียดสำหรับใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจที่จะจัดการกับสารเคมีกำจัดศัตรูพืชหลายชนิดที่มีปัญหาอยู่ทุกวันนี้
วิธีการปฏิบัติ ก่อนที่จะสัมผัสกับสารเคมีจะด้วยการฉีดพ่นหรือการผสมสารเคมีให้ตรวจสอบอาการจากรูปและดูรายละเอียดของอาการที่กล่าวมาข้างต้นและทำเครื่องหมาย (+) กรณีที่มีอาการ ทำเครื่องหมายลบ (-) กรณีที่ไม่มีอาการ หลังจากการฉีดพ่นหรือสัมผัสสารเคมีแล้วประมาณ 30 นาที ให้ดำเนินการตรวจสอบอีกครั้งหากพบอาการให้ทำเครื่องหมาย (+) ไม่พบอาการทำเครื่องหมายลบ (-) และทำการทดสอบอีกครั้งเหมือนเช่นเดิมภายหลัง 24 ชั่วโมงต้องทำทุกครั้งที่พ่นสารเคมีตลอดฤดูกาล เพื่อเป็นการติดตามสถานการณ์ การวิเคราะห์ผลที่ได้ดูได้จากตารางนี้
ตารางเปรียบเทียบอาการที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารเคมีป้องกันและกำจัดศัตรูพืช
ก่อนฉีดพ่น
หรือสัมผัส
หลังฉีดพ่นหรือสัมผัส
30 นาที - 1 ชม.
ภายหลังฉีดพ่นหรือสัมผัส24 ชม.
อาการที่เกี่ยวข้องจากการใช้สารเคมี
+
+
+
ไม่มีอาการหรือมีอาการเรื้อรัง
+
+
0
ไม่มีอาการ
+
0
+
อาจใช่หรือมีปัญหาจากการเจ็บป่วยอื่น ๆ
+
0
0
ไม่มีอาการ
0
0
0
ไม่มีอาการ
0
0
+
ใช่ และมีอาการเรื้อรัง
0
+
0
ใช่และมีอาการระยะสั้น
0
+
+
ใช่และมีอาการเรื้อรัง
ที่มา Dr. Helen Murphy-FAO
เกษตรกรผู้ฉีดพ่น หรือสัมผัสสารเคมีเมื่อมีอาการแสดงความรุนแรงออกมาไม่ว่าจะระดับ 1,2 หรือ 3 ดังภาพข้างบน ควรหยุดการฉีดพ่นหรือสัมผัสสารเคมีทันทีอย่างน้อยที่สุดประมาณ 1 สัปดาห์ โดยเฉพาะความรุนแรงระดับ 3 ควรห่างไกล หรือหยุดการสัมผัสสารเคมีโดยทันทีเพราะท่านอาจเป็นอัมพฤกษ์ หรืออัมพาต หรืออาจถึงแก่ชีวิตได้
อย่างไรก็ตามหากตรวจสอบด้วยตัวท่านเอง แล้วยังไม่แน่ใจการไปพบแพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านสารเคมีโดยตรงจะเป็นวิธีทีดีที่สุดสิ่งสำคัญที่ควรพึงระลึกไว้เสมอคือ
1. เมื่อผู้ฉีดพ่นสารเคมีหรือสัมผัสสารเคมีมีอาการรุนแรงหรือหมดสติ ให้รีบนำออกจากบริเวณที่ทำงาน ทำความสะอาดร่างกายเปลี่ยนเสื้อผ้าและนำส่งแพทย์ทันที
2. นำภาชนะบรรจุสารเคมีไปด้วยเพื่อแพทย์จะได้ดูวิธีหรือยาที่ใช้แก้อาการที่มีอยู่ในฉลากข้างภาชนะบรรจุสารเคมีนั้น
3. หากเกษตรกรผสมสารเคมีหลายชนิดรวมกัน ควรนำคนไข้พบแพทย์ผู้ชำนาญการด้านนี้เท่านั้น เพราะการแก้ปัญหาต้องใช้ประสบการณ์และความชำนาญเฉพาะด้านสูง
4. ความเชื้อผิด ๆ ที่ดื่มน้ำโซดาน้ำหวาน หรือดื่มสุราภายหลังการฉีดพ่นสารเคมี การทำให้ตัวเปียกน้ำก่อนฉีดพ่นสารเคมีเป็นอันตรายต่อท่านอย่างสูงท่านอาจรู้สึกดีขึ้นมาชั่วระยะหนึ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าท่านจะปลอดภัยจากสารเคมีที่สัมผัส ตรงกันข้ามในระยะยาวสุขภาพของท่านจะทรุดโทรมและหมดสภาพในที่สุด
5. ต้องอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดและซักเสื้อผ้าที่ใส่ทันทีภายหลังฉีดพ่นหรือสัมผัสสารเคมี
6. การผสมสารเคมีหลายชนิดพร้อมกัน เป็นการประหยัดต้นทุนแต่ไม่ประหยัดชีวิตและสุขภาพของท่านผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม
7. ต้องมีชุดป้องกันสารเคมีขณะฉีดพ่นหรือผสมสารเคมี และที่สำคัญที่สุดการใช้สารเคมี หรือผสมสารเคมีไม่ควรทำคนเดียว และต้องเตรียมน้ำสะอาดไว้ใกล้ ๆ ตัวด้วย เคยมีกรณีสารเคมีกระเด็นเข้าตาแล้ว ผู้ป่วยไม่สามารถช่วยตัวเองได้และไม่มีน้ำสะอาดชำระล้าง อันตรายมากถึงกับตาบอด
8. วิธีที่ดีและปลอดภัยที่สุด คือ งดใช้ หากจำเป็นจริง ๆ ก็ขอให้ถือเป็นทางเลือกสุดท้าย ใช้เท่าที่จำเป็นและใช้อย่างถูกต้อง แล้วหันกลับมาใช้วิธีธรรมชาติ เช่น สารสกัดจากพิษ ศัตรูทางธรรมชาติ ตัวห้ำตัวเบียน ตลอดจนเชื้อจุลินทรีย์ สารสกัดชีวภาพแทน เพราะการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชไม่ปลอดภัยกับคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม นั้น มีทางเดียวที่ปลอดภัยก็คือการไม่ใช้เท่านั้น!

อันตรายจากการบริโภคอาหารที่มีสารเคมีปนเปื้อน



อันตรายจากการบริโภคอาหารที่มีสารเคมีปนเปื้อน

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้พัฒนาชุดทดสอบอาหารเพื่อลดความเสี่ยงของผู้บริโภคจากสารปนเปื้อนหลายชนิด เช่น สารเร่งเนื้อแดง สารบอแรกซ์ สารฟอกขาว ฟอร์มาลิน สารกันรา ยาฆ่าแมลง สารโพลาร์ในน้ำมันทอดซ้ำ และอะฟลาทอกซิน ซึ่งสารแต่ละชนิดเป็นพิษภัย
ต่อสุขภาพดังนี้
สารเร่งเนื้อแดง
สารเร่งเนื้อแดงเป็นสารกลุ่มเบต้าอะโกนิสต์ ปกติใช้เป็นยารักษาหอบหืดในคน แต่มีผู้ลักลอบนำมาใช้ผสมในอาหารสุกรเพื่อเพิ่มเนื้อแดง และลดไขมันในเนื้อ ในปี พ.ศ. 2546 ได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 269 เรื่องมาตรฐานอาหารที่มีการปนเปื้อนสารเคมี
กลุ่มเบต้าอะโกนิสต์ ให้อาหารทุกชนิดมีมาตรฐานโดยตรวจไม่พบการปนเปื้อนของสารกลุ่มนี้
ความเป็นพิษ : ถ้าบริโภคสารนี้เข้าไปจะทำให้เกิดอาการมือสั่น กล้ามเนื้อกระตุก ปวดศีรษะ หัวใจเต้นเร็ว เป็นตะคริว คลื่นไส้ อาเจียน
มีอาการทางประสาท มีผลกระทบต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด
ลักษณะสังเกตได้ : เลือกซื้อเนื้อหมูที่มีสีแดงไม่เข้มผิดปกติ ถ้าเป็นหมูสามชั้นต้องมีชั้นมันมากกว่าชั้นเนื้อแดงหรือเลือกซื้ออาหารที่มี
ความปลอดภัย จากร้านที่มีป้ายอาหารปลอดภัย (ป้ายทอง)
สารบอแรกซ์
สารบอแรกซ์ หรือชื่อทางการค้าว่า น้ำประสานทอง ผงกรอบ ผงเนื้อนิ่ม สารข้าวตอก และผงกันบูดเป็นสารเคมีที่เป็นเกลือของ
สารประกอบโบรอน มีชื่อทางเคมีว่า โซเดียมบอเรต
(Sodium borate), โซเดียมเตตราบอเรต (Sodium tetraborate) มีลักษณะ
ไม่มีกลิ่น เป็นผลึกละเอียด หรือผงสีขาว ละลายน้ำได้ดี ไม่ละลายในแอลกอฮอล์ 95% มีการนำมาใช้ประโยชน์ในทางอุตสาหกรรม และ
บอแรกซ์มีคุณสมบัติทำให้เกิดสารประกอบเชิงซ้อน กับสารประกอบอินทรีย์โพลีไฮตรอกซี
(Organic polyhydroxy compound) เกิดเป็น
สารหยุ่น กรอบ และเป็นวัตถุกันเสียได้ จึงมีการลักลอบนำสารบอแรกซ์ผสมลงในอาหารหลายชนิด เช่น เนื้อหมู ปลาบด ลูกชิ้น ผลไม้ดอง
ไก่สด ทับทิมกรอบ เป็นต้น สารบอแรกซ์เป็นสารเคมีห้ามใช้ในอาหาร ตามกฎหมายอาหารฉบับที่ 151 (พ.ศ. 2536)
ความเป็นพิษ : การบริโภคอาหารที่มีสารบอแรกซ์เจือปนจะทำให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
เป็นพิษต่อไต ก่อให้เกิดไตวาย และสมอง อาการขึ้นอยู่กับปริมาณสารที่ได้รับ ถ้าเป็นผู้ใหญ่ได้รับสารบอแรกซ์ 15 กรัม หรือเด็กได้รับ
5 กรัม จะทำให้อาเจียนเป็นเลือด และอาจตายได้
ลักษณะสังเกตได้ : ลูกชิ้นเด้งหรือกรอบมาก ควรเลือกซื้ออาหารที่มีความปลอดภัย จากร้านที่มีป้ายอาหารปลอดภัย (ป้ายทอง)

สารฟอร์มาลิน
สารฟอร์มาลิน หรือสารละลายฟอร์มาลดีไฮด์ มักใช้เป็นน้ำยาฆ่าเชื้อโรค หรือใช้เป็นน้ำยาดองศพ ลักษณะทั่วไปของฟอร์มาลินเป็นของ
เหลวใส ไม่มีสี มีกลิ่นฉุนเฉพาะตัว ใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเคมีภัณฑ์พลาสติกสิ่งทอ ใช้ในการรักษาผ้าไม่ให้ย่นหรือยับ ใช้ป้องกันการขึ้นรา
ในการเก็บข้าวสาลี ข้าวโอ๊ตหลังจากเก็บเกี่ยว และใช้เพื่อป้องกันแมลงในพวกธัญพืชหลังการเก็บเกี่ยว ปัจจุบันยังมีการนำมาใช้ในทาง
ที่ผิด โดยเข้าใจว่าช่วยทำให้อาหารคงความสด ไม่เน่าเสียได้ง่ายและเก็บรักษาได้นาน ฟอร์มาลินเป็นสารอันตราย จึงถือเป็นสารเคมีที่
ห้ามใช้ในอาหาร ตามกฎหมายอาหารฉบับที่ 151 (พ.ศ. 2536) อาหารที่มักจะพบได้แก่ อาหารทะเลสด เครื่องในสัตว์สด ผักสดที่เหี่ยวง่าย เห็ด ผลไม้ เป็นต้น
ความเป็นพิษ : การบริโภคสารละลายนี้โดยตรง ปริมาณ 30 – 60 มิลลิลิตร จะเกิดอาหารเป็นพิษโดยเฉียบพลัน ซึ่งอาการมีตั้งแต่ ปวดท้อง
อย่างรุนแรง อาเจียน อุจจาระร่วง หมดสติ และตายในที่สุด มีผลต่อการทำงานของไต หัวใจและสมองเสื่อม และก่อให้เกิดอาการปวดแสบ
ปวดร้อนอย่างรุนแรงที่ปากและคอ สารละลายของฟอร์มาลินที่มีความเข้มข้นของฟอร์มาลดีไฮด์ระหว่าง 150 – 5,000 มก./กก. เมื่อสัมผัส
จะทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวหนัง หรือบริโภคอาหารที่มีปริมาณฟอร์มาลดีไฮด์ระดับนี้ บางคนจะเกิดอาการแน่นหน้าอก และคนที่
สูดดมฟอร์มาลดีไฮด์เป็นเวลานานจะมีโอกาสเป็นมะเร็งจมูก และลำคอมากกว่าคนปกติ
ลักษณะสังเกตได้ : อาหารที่ควรจะเน่าเสียง่าย แต่กลับไม่เน่าเสีย ถ้ามีการใช้ฟอร์มาลินมากจะมีกลิ่นฉุน แสบจมูก ควรเลือกซื้ออาหารที่มี
ความปลอดภัย จากร้านที่มีป้ายอาหารปลอดภัย (ป้ายทอง)
สารกันรา
สารกันรา หรือกรดซาลิซิลิค เป็นสารเคมีตัวหนึ่งที่นำมาใช้เป็นวัตถุกันเสียกันรามาใส่ในน้ำดองผักผลไม้ที่วางขายในท้องตลาด เพื่อให้
น้ำดองผักผลไม้ดูเหมือนใหม่อยู่เสมอ เนื่องจากกรดซาลิซิลิคเป็นสารเคมีที่มีคุณสมบัติยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ได้ดีแต่เป็น
อันตราย กระทรวงสาธารณสุขจึงได้กำหนดห้ามนำกรดซาลิซิลิคมาใช้เจือปนในอาหาร ตามกฎหมายอาหารฉบับที่ 151 (พ.ศ. 2536)
อาหารที่มักจะพบ ได้แก่ ผักดอง ผลไม้ดอง พริกแกง
ความเป็นพิษ : ถ้าบริโภคกรดซาลิซิลิคจนมีความเข้มข้นในเลือดถึง 25 – 35 มิลลิกรัม/เลือด 100 มิลลิกรัม จะมีอาการอาเจียน หูอื้อ
มีไข้ กระวนกระวาย ชัก ไตวายและอาจถึงเสียชีวิตได้ อาหารที่มักจะพบได้แก่ ผักดอง ผลไม้ดอง พริกแกง
ลักษณะสังเกตได้ : น้ำดองผัก น้ำดองผลไม้ พริกแกง จะดูใสเหมือนใหม่อยู่เสมอ ควรเลือกซื้ออาหารที่มีความปลอดภัย จากร้านที่มีป้าย
อาหารปลอดภัย (ป้ายทอง)

สารฟอกขาว
สารฟอกขาว หรือสารโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์ เป็นสารเคมีที่มีคุณสมบัติในการฟอกสีของอาหาร เมื่ออาหารนั้นถูกความร้อนในกระบวน
การผลิต ถูกหั่น หรือตัดแล้ววางทิ้งไว้ และยับยั้งการเจริญเติบโตของยีสต์ รา บักเตรี จึงมักจะถูกนำมาใช้เพื่อให้อาหารมีสีขาว ดูคุณภาพดี และมีบางคนได้ใช้ผงเคมีที่ฟอกแห มาฟอกอาหารหลายอย่าง ตามกฎหมายอาหารฉบับที่ 281 (พ.ศ. 2547) : ให้ใช้สารฟอกขาวกลุ่ม
สารซัลไฟต์ในอาหารบางชนิดในปริมาณที่กำหนด ส่วนสารไฮโดรซัลไฟต์ ห้าม ใช้ในอาหาร
ความเป็นพิษ : ถ้าบริโภคเข้าไปจะทำให้เกิดอาการหายใจขัด ความดันโลหิตต่ำ ปวดท้อง อาเจียน อุจจาระร่วง ผู้ที่แพ้อย่างรุนแรงหรือผู้ป่วย
โรคหอบหืดจะมีอาการช็อค หมดสติ และเสียชีวิตได้ อาหารที่มักพบสารฟอกขาว ได้แก่ ถั่วงอก ขิงฝอย ขิงดอง ผักและผลไม้ดอง
หน่อไม้ดอง ทุเรียนกวน สับปะรดกวน ผลไม้อบแห้ง และน้ำตาลปี๊บ
ลักษณะสังเกตได้ : ถั่วงอกจะขาวมากผิดปกติ ขิงหั่นฝอยสีสดไม่เป็นสีน้ำตาล ควรเลือกซื้ออาหารที่มีความปลอดภัย จากป้ายอาหารปลอดภัย (ป้ายทอง)
ยาฆ่าแมลง
ยาฆ่าแมลง หรือสารเคมีกำจัดศัตรูพืช หมายถึง วัตถุมีพิษที่นำมาใช้เพื่อป้องกันกำจัดศัตรูพืช สัตว์และมนุษย์ ทั้งในเกษตร อุตสาหกรรม และสาธารณสุข ซึ่งได้รับอนุญาตให้ใช้ได้บางชนิด แต่ต้องทิ้งระยะให้สารหมดความเป็นพิษก่อนการเก็บเกี่ยว เมื่อได้รับสารฆ่าแมลงเข้าสู่
ร่างกาย จะเกิดปฏิกิริยาทางเคมีกับเอนไซม์ในร่างกาย มีผลให้เกิดการขัดขวางการทำหน้าที่ตามปกติของระบบประสาททั้งในคนและสัตว์
ตามกฎหมายอาหารฉบับที่ 288 (พ.ศ. 2548) : ควบคุมการตกค้างไม่ให้เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค อาหารที่มักพบสารเคมีกำจัดศัตรูพืช
เช่น ผักสด ผลไม้สด ปลาเค็ม ปลาหวาน เป็นต้น
ความเป็นพิษ : ขึ้นกับคุณสมบัติของสารเคมีแต่ละชนิด วิธีการได้รับสารเข้าสู่ร่างกาย ปริมาณความถี่ สุขภาพของผู้ได้รับสารพิษและก่อให้
เกิดอาการอ่อนเพลีย ปวดศีรษะ มึนงง หายใจลำบาก แน่นในอก คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเดิน กล้ามเนื้อโดยเฉพาะที่ลิ้นและหนังตา
กระตุก ชัก หมดสติ
ลักษณะสังเกตได้ : ผัก ผลไม้มีกลิ่นสารเคมี สดไม่มีรอยเจาะของแมลง ปลาแห้ง ปลาเค็มไม่มีแมลงวันตอม การทำความสะอาดก่อน
บริโภคเพื่อลดปริมาณสารตกค้าง เช่น การล้างด้วยน้ำแล้วแช่ในน้ำส้มสายชู 0.5 % นาน 10 นาที หรือใช้น้ำเปล่าไหลผ่าน หรือแช่ในน้ำยา
ล้างผัก จะช่วยลดปริมาณสารเคมีได้
น้ำมันปรุงอาหารที่ใช้ทอดซ้ำ
น้ำมันที่ใช้ทอดอาหารหลาย ๆ ครั้ง จนมีสีเข้มดำ เกิดฟอง และมีควันมากขณะทอดน้ำมันมีความหนืดเหนียว มีสารก่อมะเร็งปนอยู่
ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขกำหนดคุณภาพมาตรฐานของน้ำมันและไขมันที่ใช้เป็นอาหาร เช่น ค่าของกรด, ค่าเพอร์ออกไซด์ เป็นต้น
ความเป็นพิษ : บริโภคอาหารที่ทอดจากน้ำมันทอดซ้ำไม่ดี จะเป็นสาเหตุให้เกิดมะเร็งได้ และเมื่อทอดอาหารจะมีควันหากสูดดมจะทำให้
เกิดมะเร็งได้
ลักษณะสังเกตได้ : เลือกซื้ออาหารทอดที่ทอดจากน้ำมันที่ยังใหม่ สีไม่เข้มดำ และไม่มีควันมากขณะทอด หลีกเลี่ยงการซื้อน้ำมันปรุง
อาหารชนิดถุงมัดด้วยยางรัด ซึ่งมักเป็นน้ำมันเก่าที่ใช้แล้ว ควรซ้อนหรือกรองกากอาหารทิ้งระหว่างหรือหลังทอดและน้ำมันที่ทอดอาหารแล้ว
มีสีเข้มดำ ให้นำไปทำผลิตภัณฑ์อื่นที่ไม่ใช่อาหาร
อะฟลาทอกซินในอาหาร
อะฟลาทอกซิน เป็นสารพิษจากเชื้อรา เป็นสารก่อมะเร็ง ทนความร้อนได้ 260C ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 98
(พ.ศ.2522) กำหนดอาหารปนเปื้อน อะฟลาทอกซินได้ไม่เกิน 20 ไมโครกรัม ต่ออาหาร 1 กิโลกรัม อาหารที่มักพบอะฟลาทอกซิน เช่น
ถั่วลิสงป่น ถั่วลิสง และผลิตภัณฑ์ข้าวโพด เป็นต้น
ความเป็นพิษ : พิษจากเชื้อรา ก่อให้เกิดมะเร็งได้
ลักษณะสังเกตได้ : เลือกซื้อเมล็ดถั่วลิสงดิบที่มีลักษณะสมบูรณ์ ไม่ลีบ ไม่ฝ่อ สีไม่คล้ำ ไม่ถูกแมลง สัตว์กัดแทะ ไม่ชื้น ไม่มีราสีเขียว
สีเหลือง หรือสีดำขึ้นที่เมล็ด ไม่มีกลิ่นผิดปกติ เมล็ดถั่วลิสงดิบก่อนปรุงอาหาร ให้นำไปแช่น้ำ และช้อนถั่วลิสงที่ลอยน้ำทิ้ง นำเมล็ดถั่วลิสง
ที่จมน้ำ ล้างให้สะอาด ผึ่งให้แห้ง นำไปปรุงอาหาร คั่วถั่วลิสงให้พอเหมาะกับการรับประทาน และไม่ควรซื้อเก็บไว้นานเกิน 3 วัน
หากรับประทานถั่วลิสงหรือผลิตภัณฑ์แล้ว รู้สึกขมหรือมีกลิ่นไม่ดี ให้คายทิ้งทันที และบ้วนปาก
ข้อมูลจาก...สำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร

Thursday, July 5, 2012

ผงชูรส มีประโยชน์หรือโทษกันแน่


ผงชูรส ประโยชน์และโทษ
สารปรุงแต่งรสอาหาร ผงชูรสมีที่มาเริ่มจากในปี พ.ศ.2451 ศาสตราจารย์ ดร.คิคุนาเอะ อิเคดะ แห่งมหาวิทยาลัยโตเกียวอิมพีเรียล ประเทศญี่ปุ่น ค้นพบว่าผลึกสีน้ำตาลที่สกัดจากสาหร่ายทะเลที่ชื่อว่าคอมบุ คือ กรดกลูตามิก และเมื่อลองชิมพบว่ามีรสใกล้เคียงกับซุปสาหร่ายทะเล ซึ่งเป็นอาหารประจำวันของชาวญี่ปุ่นที่บริโภคกันมาหลายร้อยปี 
จึงตั้งชื่อรสชาติของกรดกลูตามิกที่สกัดได้ว่า "อูมามิ" หลังจากนั้นได้จดสิทธิบัตรการผลิตกรดกลูตามิกในปริมาณมากๆ อันเป็นที่มาของอุตสาหกรรมผงชูรสในปัจจุบัน 
ผงชูรสมีการขายในเชิงพาณิชย์ครั้งแรก ภายใต้ชื่อการค้าเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า อายิโนะโมะโต๊ะ หมายถึง แก่นแท้ของรสชาติ ผลิตโดยใช้วิธีการย่อยแป้งสาลีด้วยกรด เพื่อให้ได้กรดอะมิโนแล้วจึงแยกกลูตาเมตออกมาภายหลัง 
กระบวนการผลิตในปัจจุบันเริ่มจากใช้ขบวนการย่อยสลายแป้งมันสำปะหลังทางเคมี โดยใช้กรดกำมะถันหรือกรดซัลฟูริกที่อุณหภูมิ 130 องศาเซลเซียส จนได้สารละลายน้ำตาลกลูโคส จากนั้นผ่านกระบวนการหมักโดยใช้ยูเรียและเชื้อจุลินทรีย์จนได้แอมโมเนียกลูตาเมต ส่งผ่านกระบวนการทางเคมีต่อโดยใช้กรดเกลือหรือกรดไฮโดรคลอริก จนได้เป็นกรดกลูตามิก และผ่านกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางเคมีโดยใช้โซเดียมไฮดรอกไซด์ จะได้สารละลายผงชูรสหยาบ นำไปผ่านขบวนการฟอกสีโดยใช้สารฟอกสี จนเป็นสารละลายผงชูรสใส แล้วผ่านขั้นตอนสุดท้ายด้วยการทำให้ตกผลึกจนกลายเป็นผลึกผงชูรส 
อาการแพ้ผงชูรส หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า "ไชนีสเรสทัวรองซินโดรม" (Chinese Restaurant Syndrome) หรือ "โรคภัตตาคารจีน" เพราะร้านอาหารจีนมักใช้ผงชูรสกันมากนั่นเอง จะมีอาการชาและร้อนวูบวาบที่ปาก ลิ้น ใบหน้า โหนกแก้ม ต้นคอ หน้าอก บางคนมีผื่นแดงเกิดขึ้นตามตัว แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก 
ประโยชน์ผงชูรสคงแค่เพิ่มความอร่อย แต่มีโทษมหันต์ถ้ากินในปริมาณมากเกินไป กำหนดไว้ไม่ควรบริโภคเกิน 2  ช้อนชาต่อวัน 
หากบริโภคมากเกินไปผงชูรสจะไปทำลายสมองส่วนควบคุมการเจริญเติบโต และระบบสืบพันธุ์ของร่างกาย ทำลาย ระบบประสาทตา สายตาเสีย ก่อให้เกิดมะเร็งได้โดยเฉพาะอาหารที่หมักผงชูรสแล้วนำไปปิ้ง ย่าง นอกจากนี้ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ถ้าบริโภคมากเกินไปจะผ่านเยื่อกั้นระหว่างรกภายในร่างกายของผู้เป็นมารดากับทารกในครรภ์ได้ ทำให้ทารกในครรภ์ได้รับผลกระทบจากผงชูรสด้วย 
วิธีการเลือกซื้อไม่ควรใช้ผงชูรสปลอม และเลือกซื้อผงชูรสที่ในภาชบรรจุนะปิดผนึกเรียบร้อย

ที่มา :  http://www.foodsafety.bangkok.go.th/new2/read_article.php?cat_id=6&txt_id=405





หัวข้อ : เตือนใช้ผงปรุงรสเสี่ยงป่วยโรคหัวใจ
ZigmaKwang
คำถามที่ Q14869วันที่ 16 พฤษภาคม 2555 เวลา 21:55 น.
คะแนนโหวต : 0

Joined : 02 ตุลาคม 2553
ระดับความขยัน : 1181
ค่าประสบการณ์ : 11
ค่าใจ : 35
ค่าใจดี : 16
ดูเว็บ BLOG ของ ZigmaKwang

ผศ.ดร.วันทนีย์ เกรียงสินยศ อาจารย์ประจำสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงกรณีที่ประชาชนมีความนิยมในการใช้ผงปรุงรส หรือก้อนปรุงรสเพิ่มมากขึ้นว่า จากการเก็บข้อมูลส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ประเภทดังกล่าว พบว่าส่วนผสมส่วนใหญ่ร้อยละ 40 ประกอบไปด้วยโซเดียมหรือเกลือ รองลงมาคือ ไขมันปาล์มร้อยละ 18-20 และผงชูรสร้อยละ 15-20 แต่หากเป็นชนิดที่ไม่มีผงชูรส ก็จะเปลี่ยนเป็นเกลือเพิ่มขึ้น และน้ำตาล ร้อยละ 8-10 เพื่อทำให้มีรสชาติกลมกล่อมขึ้น

นอกจากนี้ก็จะมีเนื้อสัตว์อบแห้งเพื่อเลียนแบบของธรรมชาติ โดยทั้งผลิตภัณฑ์ชนิดก้อนและผงมีส่วนประกอบที่ไม่ต่างกันมากนัก

ผศ.ดร.วันทนีย์กล่าวว่า สำหรับข้อกังวลด้านโภชนาการ ในการเติมส่วนประกอบดังกล่าวลงในอาหาร คือ อาจทำให้ผู้บริโภคได้รับปริมาณโซเดียมที่สูงเกินไป โดยพบว่าก้อนปรุงรส 1 ก้อน มีปริมาณโซเดียม 1,800 มิลลิกรัม หรือประมาณ 1 ช้อนชา โดยปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันอยู่ที่ 1,000-1,500 มิลลิกรัม ปริมาณสูงสุดไม่เกิน 2,400 มิลลิกรัม ซึ่งในการบริโภคแต่ละวัน จะได้รับโซเดียมจากแหล่งต่างๆ อยู่แล้ว ทั้งในผัก ผลไม้ และจากการเติมเครื่องปรุงรสต่างๆ ทำให้เมื่อใส่ผงปรุงรสโอกาสที่จะได้รับโซเดียมเกินปริมาณที่ร่างกายต้องการ และหากรับประทานติดต่อกันอย่างต่อเนื่องก็ทำให้เกิดผลต่อสุขภาพได้ในที่สุด

"ประชาชนสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคโดยการใช้ผักทดแทน เช่น แครอต หัวไช้เท้า กระดูก เพราะการเติมผงหรือก้อนปรุงรสมีความเสี่ยงที่จะทำให้ได้รับโซเดียมเกินปริมาณที่ร่างกายต้องการ และพบว่าประชาชนมักเพิ่มเครื่องปรุงชนิดอื่นลงไปอีก ทั้งซีอิ๊ว น้ำปลา น้ำตาล ยิ่งทำให้ได้รับปริมาณเพิ่มขึ้น โดยการได้รับโซเดียมมาก สัมพันธ์กับโรคความดัน ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคเส้นเลือด หัวใจ หลอดเลือดสมอง หากเป็นกลุ่มเสี่ยงที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว ก็จะยิ่งได้รับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอีก" ผศ.ดร.ววันัทนีย์กล่าว
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Slogan ไม่มีชัยชนะใดยากและยิ่งใหญ่เท่าชนะใจตัวเอง
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ที่มา : http://www.nongmaiclub.com/board_show_question.php?qs_qno=14869&idgroup=&search=&status_s=&order=

Wednesday, July 4, 2012

เทรนด์ฮอตอาหารธรรมชาติ…..อาหารเพื่อสุขภาพ อาหารธรรมชาติ...ดีจริงหรือแค่กระแส?


   

ปัจจุบันเทรน์การบริโภคอาหารจากธรรมชาติได้เข้ามามีทบบาทอย่ามาก ทั้งยุโรป อเมริการวมถึงประเทศไทย ซึ่งมีการตื่นตัวเรื่องการบริโภคอาหารจากธรรมชาติมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเครื่องดื่มที่ให้คุณประโยชน์สารอาหารจากธรรมชาติ ได้กลายเป็นกระแสนิยมเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ แทนเครื่องดื่มประเภทน้ำอักลมและกาแฟ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีต่อสุขภาพ เพราะในปัจจุบันเครื่องดื่มบางชนิด ได้เพิ่มคุณประโยชน์จากธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น มอลต์ นมโคและธัญญาหารสุดฮิต ซึ่งล้วนเป็นแหล่งโปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน และแร่ธาตุหลายชนิด ช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงานอย่างรวดเร็ว และลดอาการล้าอ่อนเพลียจากภาวะที่เรียกว่า “Energy Short” หรือพลังงานเกิดการลัดวงจรจากการที่ร่างกายทำงานหนักมักพบบ่อยในวัยทำงาน
อาหารธรรมชาติเป็นแหล่งอาหารที่มีประโยชน์สูงเหมาะกับทุกวัย แต่ต้องรู้จักเลือกให้เหมาะสมซึ่งอาหารธรรมชาติที่ได้รับความนิยมในลำดับต้นๆ นอกจากนมโคที่เป็นที่นิยมบริโภคมานานแล้ว ยังมีกลุ่มธัญญาหารต่างๆ ที่กำลังฮิตในปัจจุบัน ได้แก่ งาดำ ถั่วดำ ลูกเดือย จมูกข้าวสาลี และมอลต์ เป็นต้น นอกจากรับประทานได้ทุกเพศทุกวัย และให้คุณค่าทางโภชนาการสูง ทั้งคาร์โบไฮเดรต และโปรตีนที่ช่วยในการเจริญเติบโตแล้ว ยังเป็นแหล่งวิตามินแลแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ ทั้งวิตามินเอ บี1 บี2 บี บี12 แคลเซียม ธาตุเหล็ก โฟเลทและไอโอดีนอียังทั้งมีใยอาหารสูง ซึ่งเป็นอาหารชนิดที่ละลายน้ำได้ทำหน้าที่เหมือนเจลที่คอยอุ้มน้ำไว้ ลำไส้จึงขับเคลื่อนได้ดี ช่วยลดปัญหาเรื่องท้องผูกและความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ได้
ปกติร่างกายคนเรา ควรได้รับปริมาณใยอาหาร 20-25 กรัมต่อพลังงานที่ร่างกายต้องการ 2,000 แคลอรีต่อวัน จึงแนะนำให้รับประทานอาหารผักและผลไม้ทุกมื้อ แต่อย่างไรก็ดี ปริมาณใยอาหารที่ได้รับจากผักผลไม้นั้นจะให้ได้ปริมาณที่แนะนำจะต้องรับประทานในปริมาณที่เยอะมากๆ ซึ่งเป็นไปได้ยากได้ ดังนั้นหากเราสามารถรับประทานอาหารธัญญาหารต่างๆได้ทุกมื้อก็จะช่วยให้เราได้รับใยอาหารขึ้นในระดับที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
เพื่อเป็นทางเลือกให้กับคนรุ่นใหม่ผู้รักสุขภาพธัญญาหารในปัจจุบันได้ถูกนำมาแปรรูปเป็นสินค้าออกสู่ตลาดมากมาย เช่น ในรูปของเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพซึ่งกำลังได้รับความนิยมสูงในทุดเพศทุกวัย เพราะจากจะสะดวกแล้ว ยังช่วยให้ร่างกายได้รับคุณค่าสารอาหารจากธรรมชาติซึ่งดีต่อสุขภาพอีกด้วยตัวอย่างจากเครื่องดื่มธรรมชาติซึ่งได้รับความนิยมต่อเนื่องมาช้านาน ได้แก่ เครื่องดื่มมอลต์ เพราะมอลต์เป็นคุณค่าจากธรรมชาติที่ได้รับจากข้าวบาเลย์ที่ไม่ผ่านการขีดสี อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการเหมาะกับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะเด็กเล็กที่อยู่ในวัยดำลังเจริญเติบโต ที่ต้องการพัฒนาทั้งร่างกายและสมองไปพร้อมๆ กัน หญิงมีครรภ์ ผู้ป่าวระยะพักฟื้นที่ต้องการสารอาหารเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพของร่างกาย รวมทั้งผู้สูงอายุที่รับประทานอาหารไม่ค่อยได้
แต่อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคควรพิจารณาเลือกซื้อผลิตภัณฑ์แปรรูอาหารจากธรรมชาติ โดยคำนึงถึง 3 องค์ประกอบสำคัญคือ หวานน้อย ไขมันต่ำ มีใยอาหารสูง นอกจากนี้ต้องผลิตโดยบริษัทที่มีคุณภาพน่าเชื่อถือ เพื่อให้ได้คุณค่าจากธัญญาหารอย่างแท้จริง เพราะจากวัตถุดิบและขบวนการผลิตไม่ได้มาตรฐานแล้ว นอกจากจะไม่ให้คุณค่าอาหารจากธรรมชาติแล้ว ยังอาจมีโทษร้ายแรงต่อสุขภาพอีกด้วย

ที่มา :  เดลินิวส์


อาหารธรรมชาติ...ดีจริงหรือแค่กระแส?

ธัญพืช ถั่ว

อาหารธรรมชาติ...ดีจริงหรือแค่กระแส?

ชมรมโภชนวิทยามหิดล จัดเสวนา "อาหารธรรมชาติ...ดีจริงหรือแค่กระแส?" นักวิชาการแนะอาหารธรรมชาติมีประโยชน์สูง แต่ต้องรู้จักเลือกกินให้เหมาะสม..

ไม่ว่าจะอยู่ในวัยใด การเติมอาหารที่ดี ๆ ให้กับร่างกายถือเป็นสิ่งจำเป็นยิ่ง เพราะสุขภาพจะดีได้ด้วยการเลือกบริโภคอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอย่างสม่ำเสมอ และคงไม่มีใครปฏิเสธว่า อาหารจากธรรมชาติให้คุณค่าดี ๆ ต่อสุขภาพสำหรับคนทุกเพศทุกวัย เพราะเป็นอาหารที่บริสุทธิ์ อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุสูง

ในงานเสวนา "อาหารธรรมชาติ...ดีจริงหรือแค่กระแส?" ซึ่งชมรมโภชนวิทยามหิดล จัดขึ้นที่ห้องประชุมคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อเร็ว ๆ นี้ ม.ร.ว.พรรณนิภา จันทรทัต ประธานชมรมโภชนวิทยามหิดล เผยว่า ปัจจุบันเทรนด์อาหารธรรมชาติได้เข้ามามีบทบาทอย่างมาก จนกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันไปแล้ว โดยเฉพาะเครื่องดื่มให้คุณประโยชน์สารอาหารจากธรรมชาติ ได้กลายเป็นกระแสนิยมเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะหลายชนิดได้เพิ่มคุณประโยชน์จากธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น มอลต์ นมโค และธัญญาหารสุดฮิต ซึ่งล้วนเป็นแหล่งโปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน และแร่ธาตุหลายชนิด จึงช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงานอย่างรวดเร็ว และลดอาการเพลียอ่อนล้าจากภาวะที่เรียกว่า Energy Short หรือพลังงานเกิดการลัดวงจรจากการที่ร่างกายทำงานหนัก พบได้บ่อยในวัยทำงาน

ด้าน ผศ.ดร.เรวดี จงสุวัฒน์ กรรมการฝ่ายวิชาการ ชมรมโภชนวิทยามหิดล เผยว่า อาหารธรรมชาติเป็นแหล่งอาหารที่มีประโยชน์สูง แต่ต้องรู้จักเลือกกินให้เหมาะสม อาหารธรรมชาตินอกจากนมโคซึ่งเป็นที่นิยมบริโภคมานานแล้ว ยังมีกลุ่มธัญญาหารต่าง ๆ ที่กำลังเป็นเทรนด์ฮิตในปัจจุบัน โดยเฉพาะงาดำ ถั่วเหลือง จมูกข้าวสาลี และมอลต์ ฯลฯ ที่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูง ทั้งคาร์โบไฮเดรต รวมถึงโปรตีนที่ช่วยในการเจริญเติบโต และยังเป็นแหล่งวิตามินแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายสูง ทั้งวิตามินเอ บี 1 บี 2 บี 12 แคลเซียม ธาตุเหล็กโฟเลท และไอโอดีน อีกทั้งยังมีเส้นใยอาหารสูง และเป็นเส้นใยชนิดที่ละลายในน้ำได้ ทำหน้าที่เหมือนเจลที่คอยอุ้มน้ำไว้ ลำไส้จึงขับเคลื่อนได้ดี ช่วยลดปัญหาเรื่องท้องผูกและความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ได้ อีกทั้งยังช่วยลดคอเลสเทอรอลในเลือด ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้

ปัจจุบัน ธัญญาหารได้ถูกนำมาแปรรูปเป็นสินค้ามากมาย เพื่อเป็นทางเลือกให้กับคนรุ่นใหม่ผู้รักสุขภาพ ตัวอย่างเครื่องดื่มคุณค่าจากธรรมชาติที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องมาช้า นาน เช่น เครื่องดื่มมอลต์ ให้คุณค่าธรรมชาติที่ได้จากข้าวบาร์เลย์ที่ไม่ผ่านการขัดสี อุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการ เหมาะกับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะเด็กเล็กที่อยู่ในวัยกำลังเจริญเติบโต ที่ต้องการพัฒนาทั้งทางร่างกายและสมองไปพร้อม ๆ กัน รวมถึงหญิงตั้งครรภ์ ผู้ป่วยระยะพักฟื้นที่ต้องการสารอาหาร เพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพของร่างกาย ผู้สูงอายุที่รับประทานอาหารไม่ค่อยได้

อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคควรพิจารณาเลือกซื้อผลิตภัณฑ์แปรรูปอาหารจากธรรมชาติ โดยคำนึงถึง 3 องค์ประกอบสำคัญคือ หวานน้อย ไขมันต่ำ และมีเส้นใยอาหารสูง นอกจากนี้ ต้องมีแหล่งที่มาและบริษัทคุณภาพน่าเชื่อถือ เพื่อให้ได้คุณค่าจากธัญญาหารอย่างแท้จริง เพราะหากวัตถุดิบและขบวนการผลิตไม่ได้มาตรฐาน นอกจากจะไม่ให้คุณค่าอาหารจากธรรมชาติแล้ว ยังมีโทษร้ายแรงต่อสุขภาพอีกด้วย เนื่องจากธัญญาหารเหล่านี้เป็นเชื้อราได้ง่าย หากเก็บรักษาและผลิตไม่ถูกวิธี

ที่มา :  ไทยรัฐ

เผยยอดใช้ยาคนไทยพุ่ง 2.7 แสนล้านบาทมีแนวโน้มพุ่งไม่หยุด



เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการใช้ยาของคนไทย ว่า ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ค่าใช้จ่ายด้านยาของประเทศไทยมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากร้อยละ 32 ของรายจ่ายด้านสุขภาพทั้งหมดในปี 2542 เพิ่มเป็นร้อยละ 46 ในปี 2551 คิดเป็นมูลค่าการขายปลีกสูงถึงประมาณ 2.7 แสนล้านบาท หรือมูลค่าการขายส่ง 1.5 แสนล้านบาท โดย 2 ใน 3 เป็นยานำเข้าจากต่างประเทศ เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลในกลุ่มสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ เป็นผู้ใช้บริการรายใหญ่ พบว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าการใช้ยาทั้งหมดเป็นยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติ กลุ่มยาที่มีมูลค่าการใช้สูง อาทิ ยารักษาแผลในกระเพาะอาหาร ยาบรรเทาอาการปวดลดการอักเสบ ยาลดไขมันในเลือด และยาลดความดันโลหิต ร้อยละ 65-91 เป็นยานอกบัญชียาหลักฯ ที่มีผู้ผลิตรายเดียวหรือเป็นยาต้นแบบที่มีราคาแพง

สำหรับการแก้ไขปัญหาดังกล่าวนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดระบบบริหารยา เวชภัณฑ์ การเบิกจ่ายค่าตรวจวินิจฉัย และค่าบริการทางการแพทย์ 1 ชุด มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน มีนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รองประธาน กรรมการประกอบด้วย ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ปลัดกระทรวงกลาโหม เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม อธิบดีกรมการแพทย์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา รองปลัดกระทรวงการคลัง รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม เลขาธิการกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย นายคณิศ แสงสุพรรณ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์ และนายประดิษฐ สิทธวณรงค์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านบริหาร โดยมี อธิบดีกรมบัญชีกลางเป็นเลขานุการ และผู้อำนวยการสำนักงานวิจัยเพื่อการพัฒนาหลักประกันสุขภาพไทย เป็นผู้ช่วยเลขานุการ

นายวิทยากล่าวต่อว่า จากการประชุมคณะกรรมการฯ เพื่อพิจารณากำหนดทิศทางและกลไก มาตรการควบคุมกำกับการใช้ยาให้เป็นไปอย่างเหมาะสมและคุ้มค่า บูรณาการร่วมกันของทั้ง 3 กองทุนสุขภาพ คือประกันสังคม บัตรทอง และสวัสดิการข้าราชการ ที่ประชุมมีมติให้ดำเนินการมาตรการทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และตั้งคณะทำงานรับผิดชอบในแต่ละเรื่อง


มาตรการระยะสั้นประกอบด้วย 3 มาตรการ ได้แก่ 1.การเจรจาต่อรองราคายาที่มีราคาแพงและมีการใช้จำนวนมาก โดยเฉพาะยานอกบัญชียาหลักฯ ที่มีผู้จำหน่ายรายเดียว ได้มอบให้องค์การเภสัชกรรม ร่วมกับ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานประกันสังคม กรมบัญชีกลาง กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงกลาโหม กำหนดรายการยาและระยะเวลาในการดำเนินการให้ชัดเจน

2.การควบคุมกำกับการเบิกจ่ายยานอกบัญชียาหลักฯ และยาต้นแบบในระบบประกันสุขภาพทั้ง

3 ระบบ มอบให้กรมบัญชีกลาง สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง ร่วมกับ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข หรือสวรส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการให้เป็นรูปธรรมภายในเดือนกันยายน 2555 และ3.ให้ 3 กองทุนสุขภาพ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันจัดกลไกกลางในการตรวจสอบการเบิกจ่ายยา

มาตรการระยะยาว ได้แก่ 1.ให้ 3 กองทุนสุขภาพพัฒนารูปแบบการจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้เป็นรูปแบบเดียวกัน คือ การจ่ายแบบตกลงราคาล่วงหน้า คิดเป็นรายหัว ซึ่งระบบประกันสังคมและระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าดำเนินการอยู่แล้ว โดยมอบหมายให้ศูนย์พัฒนาโรคร่วมไทย เครือสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ดำเนินการให้แล้วเสร็จในปี 2556

2.ให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ร่วมกับกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย และกรมในกระทรวงที่เกี่ยวข้อง จัดทำนโยบายกำกับการใช้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติและส่งเสริมการใช้ยาชื่อสามัญ การสร้างระบบสร้างความเชื่อมั่นต่อยาชื่อสามัญที่จำหน่ายในท้องตลาด และสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนเรื่องการใช้ยา โดยให้จัดทำแผนดำเนินการและงบประมาณให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน

3.มอบให้กรมการแพทย์ ร่วมกับกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย และราชวิทยาลัยต่างๆ จัดทำแนวเวชปฏิบัติในการสั่งใช้ยานอกบัญชียาหลักในกลุ่มที่มีมูลค่าการใช้ยาสูง จัดทำข้อบ่งชี้การใช้ตามแนวเวชปฏิบัติให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2555 เพื่อเริ่มใช้ในปี 2556 ทั้งนี้ ให้แต่ละคณะทำงานตามมาตรการระยะสั้นและระยะยาว นำเสนอความคืบหน้าการดำเนินงานในการประชุมครั้งต่อไป ในเดือนกรกฎาคม 2555

ที่มา : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1339904119&grpid=&catid=19&subcatid=1904

การดูแลสุขภาพ


ที่มา :  http://health.kapook.com/care

'Super Food' สุดยอดอาหารเพื่อสุขภาพ


'Super Food' เป็นคำที่ใช้เรียกอาหารที่อุดมด้วยคุณค่าทางอาหารในระดับสูง และต้องมีครบถ้วนทั้ง สารต้านอนุมูลอิสระ,เบต้าแคโรทีน,กรดไขมันโอเมก้า 3,ใยอาหาร,วิตามินและแร่ธาตุ


อย่างไรก็ตามคำๆนี้กลับถูกนำไปใช้เพื่อผลประโยชน์ทางการค้าซะมาก โดยที่ผู้บริโภคเองก็ถูกหลอกและทำให้เข้าใจว่า Super Food จะต้องเป็นอาหารที่มีราคาแพงและหาได้ยาก ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว Super Food นั้นหาง่ายใกล้ๆตัวเรานี่เองครับ
ยกตัวอย่างอาหารประเภทนี้ เช่น
- ผักใบเขียว เช่น บรอคโคลี่ ผักขม ตำลึง เป็นผักชนิดหนึ่งที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี และวิตามิน K ที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกอาคาร และ อุดมไปด้วยเส้นใยอาหารเพื่อช่วยให้คุณควบคุมน้ำหนักของ คุณ และยังอุดมไปด้วย เบต้าแคโรที โฟเลต เหล็กและแคลเซียม จากรายงานการวิจัยชี้ให้เห็นว่าสารอาหารที่พบในพืชผักสีเขียวเข้มบางชนิดอาจป้องกันโรคมะเร็งและส่งเสริมสุขภาพได้อีกด้วย
- Yogurts และนมเปรี้ยว จุลินทรีย์แลคโตบาซิลลัสในโยเกิร์ตมีประโยชน์อย่างเหลือเชื่อจุลินทรีย์แลคโตบาซิลลัสจะเข้าไปจัดการกับเชื้อจุลินทรีย์อื่นที่อยู่ในลำไส้ ช่วยสุขภาพของลำไส้ใหญ่และบรรเทาอาการท้องเสียได้ นอกจากนี้โยเกิร์ตให้โปรตีนและแคลเซียมสูงกว่านมธรรมดา เพราะลำไส้ของเราย่อยนมไม่ได้ แต่โยเกิร์ตมีกรดแลกติกที่จะช่วยย่อยแคลเซียมให้เล็กลง ทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้ โยเกิร์ตจึงเป็นแหล่งของแคลเซียมดูดซึมได้ง่าย มีประโยชน์สำหรับผู้ที่ไม่สามารถย่อยนมได้ตามปรกติ
- น้ำมันมะกอก มีรายงานมากมายถึงประโยชน์ของน้ำมันมะกอกในการช่วยป้องกันโรคหัวใจและโรคมะเร็ง การวิจัยล่าสุดแสดงให้เห็นว่าผู้รอดชีวิตจากการโรคหัวใจในการรับประทานมีมากก่วาการรับประทานอาหารด้วยน้ำมันชนิดอื่น ถึง 50 %
- ไข่ เป็นแหล่งโปรตีนที่ดีที่สุด อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ นอกจากนี้ไข่ ยังมีวิตามินและแร่ธาตุอีกมากมาย รวมทั้งโคลีนซึ่งเป็นสิ่งที่ดีสำหรับการพัฒนาสมองและความจำ
- แอปเปิ้ล รับประทานเพียงหนึ่งลูกก็ให้ปริมาณวิตามิน C ถึง 1/4 ที่ร่างกายเราต้องการต่อวัน และยังมีใยอาหารสูง ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด เป็นอาหารที่เหมาะกับผู้ควบคุมน้ำหนัก

ความจริงแล้ว Super Food ตามธรรมชาตินั้นยังมีอยู่อีกมากมายครับ เราสามารถหารับประทานได้โดยไม่ต้องพึ่งวิตามินรวมเลยด้วยซ้ำ ในทางกลับกันวิตามินรวมอาจมีวิตามินครบตามที่ร่างกายต้องการก็จริง แต่สิ่งที่วิตามินไม่สามารถทดแทนอาหารจริงได้ก็คือเรื่องของ phytonutrient(ไฟโตนูเทรียน) ต่างหากล่ะครับ
ยกตัวอย่าง เช่น สารเบต้าแคโรทีนในอาหารนั้นช่วยลดความเสี่ยงในการก่อมะเร็ง แต่เมื่อถูกทำให้อยู่ในรูปของวิตามิน(โดยเฉพาะเมื่อถูกสกัดให้อยู่ในรูปของวิตามิน A)นั้น กลับจะช่วยเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งไปเสียนี่

ฉะนั้นแล้วการรับประทานอาหารสดๆจากธรรมชาติ จึงน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพื่อสุขภาพของเราเอง


ที่มา :  http://food.truelife.com/detail/705051

9 Tips เพื่อคนหน้าตาดี เอ๊ย สุขภาพดี...


สุขภาพดีได้ง่ายๆ ท่อง 9 Tips นี้ไว้ให้ขึ้นใจและนำไปใช้เป็นประจำ
รับรองว่า แข็งแรง สดใส ห่างไกลโรคร้ายแน่นอนค่ะ...





1. แอปเปิลวันละผล
คำพูดที่ว่า an apple a day, keeps doctor away เป็นจริงเสมอ จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยลอนดอนพบว่า การรับประทานแอปเปิลวันละผลจะทำให้การทำงานของปอดดีขึ้น จากแอนติออกซิเดนต์และสารในแอปเปิลที่เรียกว่า quartering ซึ่งช่วยทำให้ปอดแข็งแรงและทำงานได้อย่างเป็นระบบ

2. หายใจลึกๆ
เราควรหายใจให้ลึกเพื่อขยายการทำงานของปอด และทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ แต่ทุกวันนี้เรามักหายใจสั้นๆ เนื่องจากการทำงานในที่อับทึบ หรือเพราะความไม่รู้ เพราะฉะนั้นในแต่ละวันลองหายใจลึกๆ ให้ได้อย่างน้อยวันละ 10 ครั้ง และต้องเป็นแบบหายใจเข้า ท้องป่อง หายใจออก ท้องแฟบด้วย จึงจะเรียกว่าถูกวิธี

3. หลีกเลี่ยงการนำผักเข้าไมโครเวฟ
จากการวิจัยของสเปนพบว่า การทำผักให้สุกในไมโครเวฟจะทำให้สารอาหารหายไปได้ถึง 97 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นทางเลือกที่เราควรจะเลือกคือ การรับประทานผักสดๆ หลีกเลี่ยงผักแบบไมโครเวฟ แม้อาหารกล่องอาจให้รสอร่อย แต่จงรู้ไว้ว่าสารอาหารนั้นไม่มีเหลือแล้ว

4. ขยับตัวเสมอ
สังเกตไหม คนที่ขยับตัวอยู่เสมอจะมีระบบย่อยอาหารที่ดีกว่าคนที่เอาแต่นั่ง วิธีนี้ช่วยป้องกันอาการท้องผูก รวมไปถึงโรคกระดูกพรุนด้วย

5. ประโยชน์ของน้ำมะพร้าว
น้ำมะพร้าวเป็นน้ำผลไม้ที่ดีที่สุดชนิดหนึ่ง มีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการครบถ้วน เช่น โพแทสเซียม เหล็ก โซเดียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส กรดอะมิโน และวิตามินบี แถมยังมีน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้เป็นพลังงานได้ทันที มีไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย และมีประโยชน์ในการขับสารพิษและชำระล้างร่างกาย เป็นต้น

6. เมื่อเป็นไข้ไม่ควรกินฝรั่ง
ในฝรั่งมีแร่โพแทสเซียมสูง เมื่อเวลาเป็นไข้ร่างกายจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น การรับประทานอาหารที่มีโพแทสเซียมสูงจะส่งผลต่อการเกิดอาการชักได้

7. กินส้มช่วยแก้อาการเบื่อหน่ายได้
การรับประทานส้มโดยปอกเปลือกเอง จะมีกลิ่นส้มที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย และวิตามินซีที่ร่างกายได้รับในจำนวนที่เพียงพอ ช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้คลายความเครียดได้ดีออกมาด้วย

8. การกินอาหารมื้อเช้าช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อม
อาหารมื้อเช้าช่วยต่อต้านการแข็งตัวของเลือด เลือดตอนเช้าจะแข็งตัวง่ายกว่าปกติ จึงมีโอกาสที่หลอดเลือดจะอุดตันมากขึ้น สารอาหารไปเลี้ยงสมองได้น้อยลง สมองจึงค่อยๆ เสื่อม

9. ดาร์กช็อกโกแลตต่อต้านอนุมูลอิสระ
รู้ไหมว่า ช็อกโกแลตชนิดอื่นๆ แทบไม่มีส่วนผสมของโกโก้เลย มีเพียงดาร์กช็อกโกแลตเท่านั้นที่เป็นช็อกโกแลตแท้ๆ และยังมีประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะมีสารเฟลวานอยด์ที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนระบบหลอดเลือด โดยปริมาณที่เหมาะสมคือ ในแต่ละวันให้รับประทานช็อกโกแลตดำประมาณครึ่งออนซ์





ขอขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

กินอย่างไรไม่ให้อ้วน


กินอย่างไรไม่ให้อ้วน

ทำไมเราถึง อ้วน
การเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัว ขึ้นอยู่กับความสมดุลของพลังงานที่ได้รับจากการกินอาหารและพลังงาน ที่ใช้ไปในการทำกิจกรรมต่างๆ ถ้าพลังงานที่ได้จากการกินอาหารมากกว่าพลังงานที่ใช้ไปในแต่ละวัน พลังงานที่มากเกินนั้นจะสะสมเป็นไขมันไว้ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย (body fat) ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น ถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้นานๆ จะเกิดโรคอ้วนตามมา

เราจะทราบว่าอ้วนหรือไม่ ได้จากการคำนวณหาค่า "ดัชนีมวลกาย" หรือที่มักเรียกกันเป็นภาษาอังกฤษ ว่า BMI (ย่อมาจากคำว่า Body mass index) ซึ่งมีวิธีการคำนวณ ดังนี้คือ

ดัชนีมวลกาย (BMI) = น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) / ความสูง (กำลังสอง) (เมตร)

การเทียบสูตร BMI ดูจากน้ำหนักตัวและส่วนสูง เช่น น้ำหนัก ๖๐ กิโลกรัม สูง ๑๗๐ เซนติเมตร หรือ ๑.๗๐ เมตร ดัชนีมวลกาย (BMI) = ๖๐/(๑.๗๐x๑.๗๐) = ๒๐.๗๖
  • ค่า BMI ที่เหมาะสมของคนเอเชียควรอยู่ที่ ๑๘.๕ - ๒๒.๙ กิโลกรัม/ตารางเมตร
  • ถ้าค่า BMI น้อยกว่า ๑๘.๕ กิโลกรัม/ตารางเมตร แสดงว่าผอมเกินไป
  • แต่ถ้าค่า BMI สูงกว่านี้ คือ ๒๓ - ๒๔.๙ กิโลกรัม/ตารางเมตร แสดงว่ามีน้ำหนักตัวเกิน
  • ถ้าค่า BMI มากกว่า ๒๕ กิโลกรัม/ตารางเมตร แสดงว่าเป็นโรคอ้วน
ในคนที่สูง ๑๗๐ เซนติเมตร
  • น้ำหนักตัวที่ดีจะอยู่ระหว่าง ๕๘ - ๖๐ กิโลกรัม
  • แต่ถ้าน้ำหนักอยู่ระหว่าง ๖๒.๖๕ กิโลกรัม ก็แสดงว่ามีน้ำหนักเกิน และ
  • ถ้าหนักมากกว่า ๖๕ กิโลกรัม ก็แสดงว่าอ้วน
การลดน้ำหนัก
น้ำหนักตัวเกินเกิดจากการได้พลังงานมากแต่ใช้น้อย ดังนั้น การทำให้น้ำหนักลดลงก็ทำได้โดยทางกลับกัน คือ ต้องทำให้ร่างกายมีการใช้พลังงานมากขึ้น การลดน้ำหนักที่ดีควรลดลงอย่างช้าๆ เพื่อให้ร่างกายมีการปรับตัวได้ดี โดยทั่วไปน้ำหนักควรลดลงสัปดาห์ละ ๑ กิโลกรัม ซึ่งหมายถึงจะต้องลดพลังงานให้ได้สัปดาห์ละ ๓,๕๐๐ กิโลแคลอรี นั่นคือวันละประมาณ ๕๐๐ กิโลแคลอรี
กินเพื่อควบคุมน้ำหนัก
การรู้จักกินเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด ในการควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ไขมันเป็นอาหารที่ให้พลังงานกับร่างกายสูงที่สุด ไขมัน ๑ กรัม ให้พลังงาน ๙ กิโลแคลอรี ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงไม่กินอาหารที่มีไขมันมาก จำพวกของทอดต่างๆ

เรามักได้ยินกันบ่อยว่า ให้ใช้น้ำมันพืชประกอบอาหารแทนน้ำมัน หรือไขมันที่ได้จากสัตว์ เนื่องจากมีคุณภาพของกรดไขมันที่ดีกว่า ทำให้บางคนเข้าใจผิดว่า กินน้ำมันพืชที่ดีแล้วไม่อ้วน ที่จริงแล้วน้ำมันที่ใช้ในการประกอบอาหาร ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันจากพืช หรือสัตว์ต่างก็ให้พลังงานที่เท่ากัน ดังนั้นจึงควรระวังไม่กินไขมันทุกชนิดในปริมาณมากเกินไป ควรกินอาหารประเภทข้าว แป้ง ขนมปัง และผลิตภัณฑ์จากแป้ง ซึ่งเป็นอาหารหลักที่ให้พลังงานกับร่างกายแต่พอควร

ถึงแม้ว่าอาหารกลุ่มนี้ในปริมาณที่เท่ากัน จะให้พลังงานกับร่างกายประมาณครึ่ง หนึ่งของไขมัน แต่ถ้ากินมากเกินไปก็ทำให้ได้พลังงานเกิน และเก็บสะสมไว้ในร่างกาย ทำให้มีปัญหาน้ำหนักตัวมากขึ้นได้ โดยทั่วไป
  • ผู้หญิงที่ทำงานในสำนักงานไม่ควรกินเกิน ๗ - ๘ ทัพพีต่อวัน
  • สำหรับผู้ชายไม่ควรเกิน ๑๐ - ๑๒ ทัพพีต่อวัน
ถ้าเป็นไปได้ควรเลือกกินข้าวที่ผ่านการขัดสีน้อย เพราะจะทำให้ได้ใยอาหารเพิ่มขึ้น ทำให้รู้สึกอิ่ม และยังช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น ควรลดการกินน้ำตาลทรายและอาหารหวานประเภทต่างๆ น้ำตาลจะให้พลังงานอย่างเดียวโดยไม่ให้สารอาหารตัวอื่นๆ เลย ถ้ากินมากก็จะทำให้อ้วนได้ น้ำตาลทรายเป็นอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ซึ่ง ๑ กรัม ให้พลังงาน ๔ กิโลแคลอรี ดังนั้น น้ำตาลทราย ๑ ช้อนชา ให้พลังงานประมาณ ๒๐ กิโลแคลอรี การดื่มชา กาแฟ ที่มีการเติมน้ำตาลวันละหลายถ้วย ตลอดจนการดื่มน้ำหวาน น้ำอัดลมเป็นประจำ จะทำให้ได้รับน้ำตาลมากเกิน ทำให้อ้วนได้ง่าย

ควรกินผลไม้รสไม่หวานจัด เช่น ส้ม ชมพู่ มะละกอ แตงโม ฝรั่ง แทนขนมหวานต่างๆ ผลไม้มีเส้นใยอาหาร วิตามิน และเกลือแร่ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ อย่างไรก็ตาม ผลไม้ทุกชนิดให้สารคาร์โบไฮเดรตจำพวกน้ำตาลแก่ร่างกาย เช่นเดียวกับอาหารกลุ่มข้าว แป้ง จึงต้องระวังไม่กินมากจนเกินไป

ควรกินผลไม้สดทั้งผลมากกว่าการกินน้ำผลไม้คั้น เพื่อที่จะได้ใยอาหารที่มีอยู่ในผลไม้ด้วย การคั้นน้ำผลไม้เพื่อดื่ม ต้องใช้จำนวนผลไม้มากกว่าการกินผลไม้เป็นผล จึงอาจทำให้ได้รับพลังงานมากเกินไป ที่สำคัญควรหลีกเลี่ยงการกินผลไม้กระป๋อง เพราะในผลไม้กระป๋องมักมีการเติมน้ำตาลในกระบวนการผลิต จะทำให้ได้น้ำตาลและพลังงานมากเกินกว่าร่างกายต้องการ

เนื้อสัตว์ควรเลือกชนิดไม่ติดมัน ไม่มีหนัง นำมาปรุง โดยวิธีการนึ่ง อบ หรือย่าง ไม่ควรทอดในน้ำมันมาก กินแต่พอควร ประมาณ ๘ - ๑๒ ช้อนกินข้าวต่อวัน ไม่ควรกินมากจนเกินไป เพราะเนื้อสัตว์นอกจากจะให้โปรตีนกับร่างกายแล้ว ยังมีไขมันแทรกอยู่ด้วยควรกินโปรตีนจากพืชจำพวกถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ แทนโปรตีนจากสัตว์ด้วย

ควรดื่มนมรสจืดพร่องมันเนยหรือนมขาดมันเนย ในคนที่ดื่มนมได้ ควรดื่มนมรสจืดพร่องมันเนยวันละ ๑ - ๒ กล่อง เพราะมีปริมาณไขมันและพลังงานน้อยกว่า และไม่ควรดื่มนมปรุงแต่งรส เพราะจะทำให้ได้น้ำตาลและพลังงานเพิ่มขึ้น

ควรกินผักให้มากทุกมื้อและทุกวัน ผักให้วิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยอาหารกับร่างกาย เช่นเดียวกับผลไม้ แต่ให้พลังงานน้อยกว่า เพราะไม่ค่อยมีน้ำตาล เส้นใยอาหารในผักช่วยทำให้เรารู้สึกอิ่ม เนื่องจากเส้นใยอาหารจะดูดน้ำไว้ ทำให้เกิดการพองตัว และใช้เวลาอยู่ในกระเพาะอาหารและลำไส้เป็นเวลานาน ทำให้ไม่เกิดอาการหิวบ่อย ผักที่กินควรเป็นผักสด ลวก หรือต้ม มากกว่าผัดผักที่ใช้น้ำมันมาก หรือผักชุบแป้งทอด สำหรับคนที่ชอบกินผักในลักษณะผักสลัด ต้องระวังปริมาณน้ำสลัดต้องไม่ใส่มากเกินไป

ถึงแม้ว่าคนที่ต้องการลดน้ำหนักควรเลี่ยงอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล ไขมัน ดังกล่าวแล้ว แต่ก็ควรกินอาหารให้ครบทั้ง ๓ มื้อ และทุกหมวดหมู่ ไม่ควรงดมื้อใดมื้อหนึ่ง แต่ควรลดปริมาณอาหารแต่ละมื้อให้น้อยลง การงดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง มักจะทำให้ปริมาณอาหารที่กินในมื้อถัดไปมากขึ้นกว่าเดิม อาหารมื้อเช้าและกลางวันควรจะมีปริมาณมากกว่าอาหารมื้อเย็น เพื่อให้อาหารที่กินถูกเผาผลาญเป็นพลังงานในการทำกิจกรรมต่างๆ แทนที่จะเก็บสะสมไว้ ถ้าจะให้ดีหลังกินอาหารแต่ละมื้อควรเดินช้าๆ เพื่อย่อยอาหาร ไม่ควรที่จะนอนทันที

คนที่มีน้ำหนักเกิน ควรงดอาหารขบเคี้ยวทุกชนิด อาหารขบเคี้ยวจะมีฉลากข้อมูลโภชนาการอยู่ ฉะนั้นก่อนกินควรศึกษาดูว่า หนึ่งหน่วยบริโภคมีปริมาณเท่าไร ให้สารอาหารอะไรบ้าง และให้พลังงานกี่กิโลแคลอรี ถ้ามีการกินอาหารขบเคี้ยวมาก อาจต้องลดปริมาณอาหารที่กินในมื้อหลักลงบ้าง

การควบคุมปริมาณอาหารที่กินไม่ให้มากเกินไป เป็นหัวใจสำคัญของการลดน้ำหนัก ดังนั้น จึงควรกินอาหารช้าๆ เคี้ยวให้ละเอียด และกินแค่พออิ่ม ไม่เสียดายอาหารที่เหลือ การตักอาหารหรือข้าวควรตักตามจำนวนที่ต้องกินเพียงครั้งเดียว ไม่ควรตักเพิ่มอีก ภาชนะที่ใช้ใส่อาหารอาจใช้ขนาดเล็กลง เพื่อให้รู้สึกเหมือนกับว่ามีอาหารมาก

อย่าลืมว่าการออกกำลังกาย หรือการที่ทำให้ร่างกาย เรามีการเคลื่อนไหวมากขึ้น เช่น การเดินขึ้นลงบันได มีส่วนสำคัญอย่างมากในการควบคุมน้ำหนัก เพราะทำให้ร่างกายมีการเผาผลาญพลังงานมากขึ้น และยังทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงด้วย

การลดน้ำหนักเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา การสร้างทัศนคติที่ดีต่อพฤติกรรมใหม่ ให้กำลังใจกับตนเอง มีความตั้งใจจริง และทำด้วยความจริงใจ พยายามฝึกให้เป็นนิสัยที่ต้องทำทุกวัน เป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้ตัวคุณมีรูปร่างและสุขภาพที่ดีขึ้น

แหล่งที่มา เว็บไซต์กระปุกดอทคอม

Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More